จักรพรรดิซูชิงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววโกรธขึ้ง “ข้าบอกเจ้าหรือยังว่าจะปิดสถาบันการศึกษาสตรีหญ่าจวิน? สถาบันการศึกษาสตรีก่อตั้งโดยเสด็จแม่ อนาคตจะสามารถรวบรวมสตรีจากตระกูลขุนนางมารวมตัวกันได้มากมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อข้ามาก ทำไมข้าถึงอยากปิด?”ฮองเฮาพูดอย่างว่างเปล่า “แต่ฝ่าบาทไม่ต้องการให้ซ่งซีซีติดต่อกับพวกนางอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่หรือ?”จักรพรรดิซูชิงจ้องมองนาง พูดเน้นทีละคำ “ฮองเฮาไม่มีความสามารถที่จะมาแทนที่ซ่งซีซีกระนั้นหรือ?”ฮองเฮาเบิกตากว้าง ราวกับแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “ฝ่าบาทหมายความว่า ให้หม่อมฉันลดตัวลงไปหาสถาบันการศึกษาสตรี? หรือไปเอาใจบรรดาฮูหยินของขุนนาง?”นางเป็นฮองเฮานะ ให้นางไปสถาบันการศึกษาสตรีจะเป็นการสมควรหรือ? แล้วฮูหยินขุนนางเหล่านั้น ทำไมต้องให้นางที่เป็นฮองเฮาไปเอาใจพวกนางด้วย? ไม่ใช่พวกนางหรอกหรือที่ต้องมาประจบประแจงนางที่นี่?นี่ไม่เท่ากับว่าทำลายศักดิ์ศรีหรือ?จักรพรรดิซูชิงกล่าวอย่างเย็นชา “อำนาจกษัตริย์ดูอาจดูเหมือนสูงส่งยิ่งใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถสูงส่งได้จริง ถ้าไม่ระวังก็จะตกต่ำลงอย่างรวดเร็วและพังทลาย ข้าเป็นฮ่องเต้ มีหลายเ
เมื่อประตูตำหนักเปิดออก อู๋ต้าปั้นก็รีบร้องว่ายกเกี้ยว ส่วนป้าหลานเจี่ยนก็รีบเดินเข้าไปในตำหนัก ช่วยพยุงฮองเฮาขึ้นมา“มือของฮองเฮาได้รับบาดเจ็บ” ป้าหลานเจี่ยนรีบเช็ดเลือดด้วยผ้าเช็ดหน้า จากนั้นจึงเรียกนางกำนัลเข้ามาทำความสะอาดบาดแผลฮองเฮาฉีนั่งอิดโรยบนเก้าอี้ สีหน้าตื่นตระหนกหวาดกลัว “เขาบอกว่าเขาจะปลดฮองเฮา ฝ่าบาทบอกว่าจะปลดฮองเฮา”“ฝ่าบาททรงพิโรธเพียงชั่วขณะ จะทรงปลดฮองเฮาได้อย่างไร? ไม่ต้องกังวลเพคะ” ป้าหลานเจี่ยนไล่นางกำนัลที่เข้ามารับใช้ออกไป มองดูฮองเฮาที่มีสีหน้าซีดเซียว แล้วถอนหายใจ “ฮองเฮาไม่ควรไปพูดเรื่องนั้นกับไทเฮา อีกอย่างเรื่องเหล่าหรงไทเฟย บ่าวก็เกลี้ยกล่อมท่านแล้ว แต่ท่านไม่ฟัง”“ข้าไม่เข้าใจ มันผิดอะไร!” ดวงตาของฮองเฮาฉีเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ “เรื่องสองเรื่องนี้ แม้จะมีความผิด แต่ก็เป็นเพียงความผิดเล็กน้อย ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ”ป้าหลานเจี่ยนถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่ฟังสิ่งที่ไทเฮาและฝ่าบาทพูด ตอนนี้จิตใจของนางมุ่งความสนใจไปที่การโจมตีซ่งซีซี และวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่แต่นี่เป็นวิธีที่ผิด“ฮองเฮาสามารถตีสนิทซ่งซีซีได้ ไม่จำเป็นต้องต่อต้านนาง นางไม่ใช่ส
“ฮองเฮาไม่ควรเป็นคนโง่เขลาขนาดนี้ เมื่อก่อนนางเคยฉลาดมาก” ไทเฮาลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร นั่งบนเก้าอี้ไม้จันทน์ กินอิ่มเจ็ดส่วน ก็นั่งสบาย “คนผู้หนึ่งที่เฉลียวฉลาดกลับกลายเป็นคนโง่เขลา เพราะว่าอยู่ในสถานการณ์นั้นเอง มองเห็นอะไรไม่ชัดเจน เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง เพื่อผลประโยชน์นี้ ไม่ว่านางจะเสียสละใคร นางก็คิดว่ามีเหตุผลทั้งนั้น”“ใช่ เสด็จแม่ตรัสถูกต้อง” จักรพรรดิซูชิงพยักหน้าเห็นด้วยไทเฮาให้เขานั่งลง ตรัสถามว่า “เรื่องที่สถาบันการศึกษาสตรีรับสมัครนักเรียน เต้าคิดเห็นอย่างไร?”จักรพรรดิซูชิงตรัสตอบว่า “ลูกคิดว่าเป็นสิ่งที่ที่ดีมาก สามารถทำให้ประชาชนรู้สึกว่า ตนเองละผู้มีอำนาจอยู่ไม่ห่างชั้นกันมากนัก ความขุ่นเคืองของประชาชนก็ลดน้อยลงมาก”เขาย่อมคิดจากสถานการณ์โดยรวมอยู่แล้ว ส่วนจะทำให้เด็กสาวชาวบ้านได้มีความรู้อะไรนั่น เขาไม่สนใจ“แล้วเจ้าคิดว่า นักเรียนจากทั่วทั้งแผ่นดินจะโจมตีนักเรียนกลุ่มนี้หรือไม่?” ไทเฮาถามอีกครั้งจักรพรรดิซูชิงหัวเราะและตรัสว่า “เป็นไปได้อย่างไร? บัณฑิตบางคนไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ คิดว่าสตรีไม่ฉลาดพอ คิดว่าสถาบันการศึกษาสตรีเป็นเพียงการละเล่นของเด็ก ก็
หลังจากการสอบสวนของหอหนานเฟิงชัดเจนแล้ว ซ่งซีซีก็ไปรายงานที่วังด้วยตนเองนางไม่รู้ว่าตัวเองถูกฮองเฮาฟ้อง ดังนั้นจึงตั้งใจว่าจะรายงานธุระให้เสร็จ แล้วค่อยไปถวายพระพรไทเฮาเมื่อจักรพรรดิซูชิงได้ยินว่ามีคนจากแคว้นซาที่รู้วรยุทธ์ซ่อนตัวอยู่ในหอหนานเฟิง เขาก็ประหลาดใจมาก สีหน้าเคร่งขรึมทันทีนางไม่ได้พูดถึงเรื่องที่อาจารย์ฉีไปเยือนที่หอหนานเฟิง เพราะจากการสืบสวน ที่อาจารย์ฉีไปหอหนานเฟิงนั้นเป็นเพียงเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น แม้แต่ตัวตนก็ยังถูกปิดบังไว้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แต่งตัวให้ตัวเองดูพิลึกแบบนั้นเมื่อแอบฟังหลายครั้ง ก็พบว่าเขาพูดแต่เรื่องความรัก ไม่พูดถึงเรื่องการเมือง และไม่ได้ทำอะไรผิดปกติเป็นพิเศษ จึงไม่ได้แพร่งพรายออกไปหงเซียวแอบฟังบริกรพูดถึงอาจารย์ฉี แอบเรียกเขาว่าผีเฒ่า แถมยังพูดด้วยความรังเกียจว่าผีเฒ่านี่กลับมาอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ฉีให้เงินมาก คงไม่มีใครเต็มใจรับรองเขาเนื่องจากเป็นความสนใจส่วนตัว จึงไม่จำเป็นต้องพูด นอกจากนี้เขาอาจจะไม่รู้ว่าบริกรบางคนมาจากแคว้นซา แถมแคว้นซายังเลือกมาก ต่างก็เลือกแต่หนุ่มหล่อที่ออกแนวแปลกๆ นิดหน่อย แต่กลับไม่สอดคล้องกับคุณลักษ
คุกในจวนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงนั้นเรียบง่ายและหยาบมาก โดยทั่วไปจะไม่ขังใครไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครถูกจับกุม สำหรับคดีเล็กๆ น้อยๆ จะถูกปรับเงินหรือโบยด้วยไม้กระดาน หากเป็นคดีร้ายแรงจะถูกส่งไปยังทางการ และสอบสวนตามกฎหมายซ่งซีซีถามว่า “ถ้ามีขุนนางในราชสำนัก ให้พากลับมาด้วยหรือไม่?”จักรพรรดิซูชิงพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “แน่นอนว่าต้องพากลับมาให้หมด”ซ่งซีซีเข้าใจว่าฝ่าบาทต้องการให้บทเรียนให้พวกเขา แต่ก็ไม่อยากให้ทางการรู้เรื่องนี้ เพราะต้องการปกป้องชื่อเสียงของพวกเขา จึงแค่ให้ขังไว้ในคุกจวนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงจุดประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดคือ การจับสายลับแคว้นซาและสอบปากคำพวกเขาอย่างเข้มข้น“ห้ามบอกใครก่อนเด็ดขาดนะ” จักรพรรดิซูชิงเตือน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้บทเรียนแก่คนเหล่านั้น เพื่อปรับปรุงความประพฤติทางศีลธรรมซ่งซีซีกล่าวด้วยความเคารพ “เพคะ หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชา”หลังจากรับคำสั่งและออกมาแล้ว ซ่งซีซีก็นึกถึงอาจารย์ฉีพูดตามตรง ที่อาจารย์ฉีพูดกับนางในวันนั้น แม้ว่านางจะโกรธอยู่ในใจ แต่ก็คิดเสมอว่าเขาเป็นอาจารย์ของอดีตฮ่องเต้ ได้ชื่อว่าเป็นราชครู ถ้า
ได้ยินเสียงหายใจหนักๆ ดังมาจากข้างใน ซึ่งเสียงหายใจนั้นแฝงความตื่นตระหนก บางทีอาจารย์ฉีคนนี้ไม่เคยตื่นตระหนกขนาดนี้มาก่อนในชีวิตเขาอาจจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องใหญ่ๆ ได้ แต่เขาไม่สามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ได้แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตที่นี่ทันที ก็ไม่อยากให้ศพถูกค้นพบที่นี่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่เขาออกจากวังในวันส่งท้ายปีเก่า เขาตำหนิติเตียนซ่งซีซีอย่างเข้มงวด“ออกมา!” ซ่งซีซีตะโกนอีกครั้งบริกรน้อยสองคนเดินเท้าเปล่าออกมา ในห้องนี้มีการเผาถ่านเงิน และปูด้วยพรม ที่นี่จึงสามารถเดินเท้าเปล่าได้“จะออกมาเองหรืออยากให้ข้าเชิญ?” ซ่งซีซีพูดเรียบๆทันใดนั้นบริกรทั้งสองก็วิ่งออกไป เหลือเพียงคนที่อยู่ด้านหลังฉากบังลมที่สั่นเล็กน้อยซ่งซีซีดึงผ้าปูโต๊ะปักลายดอกไม้บนโต๊ะออก เดินอ้อมฉากบังลมและคลุมตัวอาจารย์ฉีไว้ จากนั้นจับมือของเขาแล้วพูดว่า “ไป!”อาจารย์ฉีซึ่งถูกผ้าปูโต๊ะคลุมหน้าไว้ถูกลากไป และเซไปข้างหน้า เขาก้มศีรษะลงก็ยังคงมองเห็นทางเขาไม่เข้าใจมาก ซ่งซีซีต้องไม่เห็นเขาแน่นอน เพราะเขาซ่อนตัวอยู่หลังฉากบังลม ยังไม่เคยพบหน้าซ่งซีซีแบบเต็มๆแต่ซ่งซีซีดูเหมือนจะรู้จักตัวตนของเขา ยังคงให้เก
ข่าวที่ว่าหอหนานเฟิงถูกบุก ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วโหวกวางหลิงรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง คืนนี้เขารู้สึกไม่สบายพอดี ไม่ได้ไปที่หอหนานเฟิง คิดไม่ถึงว่าจะถูกยึดเช่นนี้หอหนานเฟิงเปิดมาหลายปีแล้ว เขาได้ให้ความบันเทิงแก่บุคคลสำคัญมากมายในเมืองหลวง ตามหลักแล้วหากฝ่าบาทต้องการยึดหอหนานเฟิง ก็จะมีคนแจ้งเขา แต่ทำไมไม่มีใครแจ้งเขา มาทำการปราบปรามอย่างฉับพลันหรือ?เมื่อเขารู้สึกตัวก็รีบเรียกหาคนสนิททันที ให้เขาออกไปสืบดูว่าใครเป็นคนกวาดล้าง และที่สำคัญที่สุดคือ คืนนี้อาจารย์ฉีมาหรือไม่เขารู้ว่าอาจารย์ฉีไปที่หอหนานเฟิง ซึ่งได้เก็บไว้เป็นความลับมาโดยตลอด แม้แต่ทุกคนในตระกูลฉีก็ยังไม่รู้ มีเพียงเหลียงฉีคนสนิทของเขาเท่านั้นที่รู้สำหรับคนเพียงคนเดียวในหอหนานเฟิงที่รู้ตัวตนของเขา นั่นคือผู้ดูแลคนรับจ้างจอดม้าให้ของหอหนานเฟิงไม่ถูกจับ จึงรีบไปที่จวนโหวกวางหลิง เพื่อรายงานสถานการณ์ไม่จำเป็นต้องออกไปสอบสวน มีข่าวใหญ่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือซ่งซีซีนำกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงและกองพันลาดตระเวนไปยึด อีกเรื่องหนึ่งคือชายชราหน้าขาวก็มา และถูกนำตัวกลับไปที่จวนกองกำลังรักษา
ในห้องหนังสือของจวนหลักตระกูลฉี แสงไฟสองดวงที่ส่องสว่างอยู่ภายในโคมไฟแก้ว ทำให้ใบหน้าของเจ้ากรมฉีดูมืดมนและโกรธขึ้งเป็นอย่างยิ่ง“เรื่องนี้ มีใครรู้บ้าง” เสียงของเจ้ากรมฉีเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ก็ยังระงับอารมณ์ได้ดี ไม่ได้แสดงอาการโกรธทันทีโหวกวางหลิงไม่กล้าบอกว่าพี่สาวของเขาก็รู้เรื่องนี้ด้วย ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่สาวถึงบอกว่าตัวเองไม่สามารถมากับเขาได้ ยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น“ไม่มีใครรู้ ได้ยินมาว่าตอนที่พาตัวกลับมา อาจารย์เอาผ้าปูโต๊ะคลุมศีรษะและใบหน้า คิดว่า คิดว่าซ่งซีซีคงเห็นแล้ว”เจ้ากรมฉีกัดฟันแล้วพูดว่า “ไม่สามารถปล่อยให้นางเห็นได้ ถ้าเป็นปี้หมิงหรือลู่เจินก็ยังจัดการง่าย แต่นางเห็นแล้ว เราจะจัดการทางนี้ได้อย่างไร? จะพาคนออกมาได้อย่างไร? นางแทบต้องการให้ทุกคนในโลกรู้เรื่องนี้”โหวกวางหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ไม่เช่นนั้นนางจะไม่อนุญาตให้อาจารย์คลุมหน้า ไม่ว่านางจะแค้นตระกูลฉีมากแค่ไหน นางก็ยังต้องไว้หน้าอดีตฮ่องเต้”เจ้ากรมฉีกล่าวอย่างเย็นชา “อดีตฮ่องเต้มีอาจารย์มากกว่าหนึ่งคน หลังจากปลดตำแหน่งอาจารย์แล้ว ใครจะพูดอะไรไม่ได้?
สถาบันว่านซงเหมิน ณ เขาเหมยซานวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเหรินหยางอวิ๋น ทว่าอูโซเว่ยกลับกล่าวว่ายังไม่ใช่แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาต้องการความครื้นเครง จึงได้ส่งเทียบเชิญไปยังบรรดาสำนักบนเขาเหมยซาน รวมถึงพรรคในยุทธภพที่พอจะมีไมตรีกันอยู่บ้างล่วงหน้าหลายวัน จัดเลี้ยงเกินสามสิบโต๊ะอูโซเว่ยลงมือจัดเตรียมงานเลี้ยงวันประเกิดนี้ด้วยตนเองเรื่องราวภายในสถาบันว่านซงเหมิน ส่วนมากล้วนเป็นเขาที่ลงมือจัดการเอง เขา อูโซเว่ย ไม่ถือสาหากต้องลำบากสักหน่อย แต่ที่ทำให้เขาคิดว่ามีปัญหาก็คือ คราวนี้ศิษย์พี่กลับระบุในเทียบเชิญว่าห้ามนำของขวัญอวยพรวันเกิด มันลำบากเกินไปจริงๆสถาบันว่านซงเหมินมั่งคั่งก็จริง แต่ไม่อาจลดเกียรติตนเองเช่นนี้ แม้ไปดื่มสุรามงคลหรือสุราวันเกิดของผู้อื่นก็ใช่ว่าจะไปมือเปล่า ของขวัญกับน้ำใจย่อมขาดไม่ได้ศิษย์พี่ก็เป็นบุรุษที่เงินทองมากจนคันมือคันไม้ หากมิหาเหตุผลใดๆ เพื่อใช้จ่ายออกไปบ้าง ก็คงไม่อาจเป็นสุขกายใจทว่า ที่ทำให้อูโซเว่ยรู้สึกประหลาดใจก็คือ แต่ก่อนศิษย์พี่ไม่ค่อยชอบคบหาผู้คน ถึงมีเรื่องน่ายินดีก็เพียงเอ่ยวาจาทักทายสองสามคำก็จบแต่วันนี้ต่างออกไป เห็นเขาใช้โอกาสข
ท่านอ๋องฮุยมองถ้วยที่แตกกระจายอยู่บนพื้น เศษชิ้นส่วนแม้จะไม่คมมาก แต่หากใช้กรีดข้อมือก็น่าจะทำได้ เขาค่อยๆ ก้มลงเก็บเศษถ้วยชิ้นหนึ่งขึ้นมา แต่ทันใดนั้นมือของเขาก็ถูกคว้าไว้ "ฝ่าบาท โปรดระวังมือได้รับบาดเจ็บ" ข้อมือของเขาถูกบีบจนเจ็บปวด เศษถ้วยในมือก็ถูกแย่งไปในทันที คนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีดำสนิท แม้แสงจากโคมไฟสะท้อนก็ไม่ปรากฏแสงใดจากชุดของเขา ในจวนแห่งนี้มีคนเช่นนี้อยู่มากเท่าใด เขาเองก็ไม่รู้ เขารู้เพียงว่า ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็มีความรู้สึกถูกจับตาดูอย่างหนักอึ้ง คนเหล่านี้ไม่เพียงมีวิทยายุทธ์สูงส่ง พลังภายในลึกล้ำ แต่ยังเก่งกาจเรื่องอาวุธลับ ต่อให้เขาพาเสิ่นว่านจือและคนอื่นๆ ออกไป ความรู้สึกกดดันนี้ก็ยังคงอยู่ เขาเคยหวังว่าเสิ่นว่านจือและคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นการมีอยู่ของคนเหล่านี้ แต่พวกเขากลับเหมือนอากาศที่อยู่ทุกหนแห่ง ทว่าไม่มีใครมองเห็นหรือสัมผัสได้ เหล่าทหารรับจ้างของอ๋องเยี่ยนเมื่อเทียบกับคนเหล่านี้แล้ว ช่างเหมือนขยะไม่มีค่า เมื่อคนผู้นั้นปล่อยมือ ข้อมือของเขาก็ช้ำเป็นรอยดำ มีรอยนิ้วมือสองรอยชัดเจน แม้แต่การตาย เขายังไร้หนทางทำให้สำเร็จ ดวงตาของท่านอ๋อง
ท่านอ๋องฮุยพ่นลมหายใจออกอย่างเย็นชา พลางเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมมองเขา หนิงจวิ้นอ๋องที่ยืนตัวตรงสง่างามอยู่ตรงนั้น แต่ใบหน้ายังคงเป็นของลุงกวน พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ลูกขอสัญญา สิ่งที่ลูกตกลงกับเสด็จพ่อไว้ ลูกจะทำให้สำเร็จ งานก่อสร้างคลองจะแล้วเสร็จโดยไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ ไม่ทำร้ายชาวบ้านในเมืองหลวง ไม่เหยียบย่ำพืชผลใดๆ และขอให้เสด็จพ่อวางใจ ลูกจะไม่ปล่อยให้เสด็จพ่อต้องตาย ลูกยังรับรองได้ว่า หลังจากชิงใต้หล้ามาได้ บัลลังก์จักรพรรดิ์จะต้องเป็นของเสด็จพ่อแน่นอน" ท่านอ๋องฮุยพูดเย้ยหยันว่า "เจ้านี่ช่างเป็นลูกกตัญญูยิ่งนัก" "ลูกเคยพูดแล้ว" หนิงจวิ้นอ๋องตอบอย่างจริงใจ "ลูกจะมอบตำแหน่งจักรพรรดิ์ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ให้เสด็จพ่อ เพื่อให้เสด็จพ่อปกครองแผ่นดิน เราจะไม่ถูกแคว้นซาข่มเหงอีกต่อไป ไม่ต้องยืดเยื้อเรื่องชายแดนกับชาวซีจิง ชาวบ้านจะได้ใช้ชีวิตสงบสุข และแคว้นซางของเราจะเจริญรุ่งเรือง" ท่านอ๋องฮุยสบถเสียงดัง "เจ้ากบฏที่สมคบคิดกับแคว้นซาซีจิง กล้าพูดคำพูดไร้ยางอายแบบนี้ออกมาได้ ช่างน่ารังเกียจที่สุด" "นั่นเป็นเพียงแผนชั่วคราว รอเสด็จพ่อขึ้นครองบัลลังก์ ลูกจะขับไล่ศัตรูและท
เฉินเฉินเสนอให้ลองพิสูจน์ดู แต่เสิ่นว่านจือส่ายศีรษะ "อย่าลอง ทำเป็นไม่รู้ดีที่สุด ห้ามไปกระตุ้นให้พวกเขาระแวง พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางแล้วกลับไปบอกซีซีและอาจารย์หยู" แต่หม่านโถวกลับทำท่าคิดหนัก "พวกเราจะออกไปได้หรือ?" เฉินเฉินตกใจเล็กน้อย "เจ้าหมายความว่าเขาจะไม่ยอมให้พวกเราไป? เขาจะกักตัวพวกเราไว้? แต่ท่านอ๋องฮุยบอกแล้วว่าปล่อยให้พวกเราไปนี่" "แต่เหตุใดท่านอ๋องฮุยถึงเรียกว่านจือมาที่นี่ล่ะ? พวกเจ้าเคยคิดเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?" เสิ่นว่านจือเดินไปมาด้วยความร้อนใจ นางเคยคุยเรื่องนี้กับซ่งซีซีมาก่อนแล้ว ถ้าการเรียกตัวมาไม่ใช่เพื่อขอความช่วยเหลือ แล้วจะเป็นการกักตัวหรือ? แต่มองดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่เรื่องนั้น คล้ายกับว่าต้องการเปิดเผยบางอย่างให้พวกเขาเห็นมากกว่า "เป็นไปได้ไหมว่า ท่านอ๋องฮุยและลุงกวนไม่ได้อยู่ข้างเดียวกัน?" เสิ่นว่านจือย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในจวนท่านอ๋องฮุย ลุงกวนเหมือนจะอยู่ทุกที่ แต่กลับไม่มีใครรู้สึกถึงตัวตนของเขา นางอดทนไว้ ไม่กล้าพูดสิ่งที่ตนคาดเดาออกมา ลุงกวนจะใช่คนที่ปลอมตัวหรือเปล่า? หรือเขาคือหนิงจวิ้นอ๋อง? "ไม่คุยแล้ว กลับไปนอนกั
เสิ่นว่านจือและพรรคพวกพักอยู่ในจวนท่านอ๋องฮุยมาหลายวัน จนแทบจะพลิกจวนค้นหาไปทั่ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร นางจึงตัดสินใจจะถอนตัวกลับ ในแต่ละวัน นางเอาแต่นั่งกินดื่มกับท่านอ๋องฮุย จนรู้สึกว่าตัวเองเกียจคร้าน เสียเวลาเปล่า โดยเฉพาะเมื่อซ่งซีซีกำลังยุ่งมาก แต่นางกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ระหว่างมื้อเย็น นางจึงบอกกับท่านอ๋องฮุยว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ท่านอ๋องฮุยมองนางพร้อมหัวเราะ "ทำไมหรือ? หรือจวนของข้าเลี้ยงดูเจ้าด้วยของดีๆ ไม่พอ?" เสิ่นว่านจือตอบอย่างตรงไปตรงมา "ท่านเลี้ยงดูดีเกินไป ทุกวันมีแต่ของเลิศรสจากป่าและทะเลจนข้ารู้สึกเกินพอ" "เจ้าช่างเป็นหมูป่าเสียจริง กินอาหารเลิศรสไม่เป็น!" ท่านอ๋องฮุยหัวเราะเสียงดัง "เอาเถอะ หากเจ้าอยู่เบื่อแล้ว ก็กลับไปเถิด" เขาเรียกลุงสิบสามมา สั่งว่า "เจ้าสิบสาม ไปที่คลังสมบัติ เลือกของขวัญสักสองสามชิ้นไว้ส่งให้พวกเขาในวันพรุ่งนี้" ลุงสิบสามตอบ "ขอรับ ข้าจะไปจัดการทันที" ลุงกวนที่ยืนรออยู่หน้าประตูได้ยินจึงกล่าวว่า "ฝ่าบาท ให้ข้าไปเถอะ" ท่านอ๋องฮุยมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า "อืม เจ้าก็ไปเถิด เลือกของดีๆ
เพราะการจัดกำลังป้องกันของกองทัพซวนเจีย เมืองหลวงจึงตกอยู่ในสภาวะระแวงระวังอย่างหนักด้วยการประกาศห้ามออกจากเคหสถานในเวลากลางคืน ทำให้สถานที่บันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ดำเนินกิจการได้ลำบาก โรงน้ำชาและโรงสุราต่างปิดประตูทันทีเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เมืองหลวงในยามค่ำคืนราวกับเป็นเมืองร้างกลยุทธ์ในตอนนี้คือ ข้าศึกไม่เคลื่อนไหว เราก็ไม่เคลื่อนไหวงานก่อสร้างคลองยังคงดำเนินต่อไป หากหยุดงานโดยไม่มีเหตุผล กองทัพซวนเจียจะบุกล้อมทันทีเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ซ่งซีซีจึงยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และถือไพ่เหนือกว่าหากงานก่อสร้างไม่หยุด กิจการคลองจะดำเนินไปตามปกติ ซึ่งเป็นผลดีทั้งต่อราชสำนักและราษฎรแม้การเผชิญหน้าระหว่างสองกองทัพยังไม่เกิดขึ้น แต่บรรยากาศของสงครามกลับเข้มข้นราวกับควันปืนที่เริ่มปกคลุมการเข้าออกประตูเมืองถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดทุกวัน เป็นไปไม่ได้ที่นกต่อจะไม่กลับมาเมืองหลวง เมื่อเดิมพันด้วยชีวิตและทรัพย์สิน เขาจะสั่งการจากระยะไกลได้อย่างไร?ก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีสงสัยว่านกต่ออาจกลับมาแล้ว แต่เสิ่นว่านจือที่พักอยู่ในจวนอ๋องฮุยกลับไม่พบเบาะแสใดเลย อีกทั้งข้ารับใช้ใกล้ชิดของท่านอ๋องฮุยล้วนเป
แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ก่อนที่นางจีจะกลับไป ซ่งซีซีก็สั่งให้คนไปซื้อโจ๊กเนื้อบดสองหม้อ โดยอ้างว่าเป็นของชาวบ้านที่ต้องการขอบคุณฮูหยินจีสำหรับการแจกจ่ายโจ๊กตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้ต้องการตอบแทนบุญคุณครั้งนี้นางจีร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ นางหวังว่าลูกๆ จะได้ดื่มโจ๊กอุ่นๆ สักคำ แม้เพียงนิดเดียวหลังออกจากหอต้าหลี่ ซ่งซีซีครุ่นคิดแล้วสั่งให้อาจารย์หยูไปเล่าถึงเรื่องที่ชาวบ้านบริจาคโจ๊กให้เป็นที่แพร่หลายเดิมทีผู้คนยังจดจำความมีน้ำใจของนางจีที่แจกจ่ายโจ๊กได้ แต่ช่วงนี้เรื่องราวนั้นเริ่มเงียบหายไปตอนนี้จึงเหมาะที่จะใช้โอกาสนี้จุดกระแสเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งอาจารย์หยูจึงแต่งเรื่องเล็กน้อย โดยเล่าว่าชาวบ้านที่มอบโจ๊กเดิมทีเป็นคนเร่ร่อนชานเมืองหลวงที่อดอยากจนเกือบตาย ดื่มโจ๊กที่โรงทานหลายวันติดต่อกัน และก่อนออกจากเมืองหลวง โรงทานยังมอบเสบียงให้เขาห่อหนึ่งแม้ปัจจุบันชีวิตของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก แต่เมื่อได้ยินว่าผู้มีพระคุณของเขาประสบเคราะห์ เขาจึงรีบเดินทางมาที่เมืองหลวงและซื้อโจ๊กอุ่นๆ สองหม้อมาส่งที่เรือนจำ พร้อมร้องขอให้นำไปให้ผู้มีพระคุณเซี่ยหรูหลิงซึ่งดูแลเรือนจำ เ
นางถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หงเชวี่ยตอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอาการยังพอรับได้ แต่ถ้าหวังชิงหลูไข้สูงไม่ลด ก็อาจเป็นอันตรายได้ นางเครียดเกินไป ตอนที่พบนาง นางจับมือข้าไว้แน่น ถามว่าตัวเองจะตายหรือไม่ พูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ เดี๋ยวโทษคนนั้น เดี๋ยวโทษคนนี้ บางครั้งก็โทษตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง”ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไร นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตของผู้อื่น เพียงแต่หวังว่านางจะไม่ทำให้ฮูหยินจีลำบากไปกว่านี้หากหวังชิงหลูเสียชีวิตในเรือนจำ จะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในตระกูลหวัง ซึ่งจะเพิ่มภาระทางจิตใจให้กับฮูหยินจีอย่างแน่นอน“หงเชวี่ย อีกสองวันเจ้าไปดูพวกเขาอีกทีนะ”หงเชวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อีกสองวันเจ้าไป ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”นางอยากพูดคุยกับฮูหยินจีตามลำพัง เพราะในที่สิ้นหวังเช่นเรือนจำนั้น หากไม่มีแม้แต่คนพูดคุย มีเพียงเสียงร้องไห้ที่ไม่สิ้นสุด วันเวลาก็จะยืดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เนื่องจากฝ่าบาททรงพระประชวรและงดราชกิจ นางจึงต้องไปพบเสนาบดีมู่เพื่อแจ้งเรื่องจินชางหมิงเปล
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที