“เย่ผิง!” ราชครูได้แต่ส่ายหน้าไปมาแล้วหันไปยิ้มน้อยๆ ให้คนทั้งสาม “ข้าเลี้ยงดูนางไม่ดี ต้องขออภัยที่กิริยาไม่น่ารักนัก” “ท่านอย่าคิดมาก เย่ผิงก็เป็นแบบนี้แหละ” โจวฟู่หรงไหวไหล่เล็กน้อย นางเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาตามใจนางด้วยเช่นกัน “แล้วผ้าผืนนี้” จ้าวจิ่นสือมองผ้าที่ถูกปามาอยู่ในมือของเขา “ถ้าไม่คิดอะไรเจ้าก็เอาไปเถิด” โจวฟู่หรงแค่พยักหน้ารับรู้ ยังไม่ทันพูดอะไรต่อก็มีทหารวิ่งเข้ามา “เรียนหัวหน้าโจว มีตัวแทนจากเผ่าต่างๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำมาขอพบขอรับ” ได้ยินตามนั้นแล้ว ทั้งอิงฮวาและจ้าวจิ่นสือก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องภายใน ทั้งสองถึงขอตัวเดินแยกออกมา อิงฮวาเดินเลี้ยวไปทางอื่น มือของจ้าวจิ่นสือยื่นไปจับข้อมือนางไว้ก่อน “เจ้าจะไปไหน” “ในครัว ไปช่วยปาน่า” นางมองมือของเขาที่จับข้อมือนางไว้ “ไม่ใช่ทางนั้น” หญิงสาวทำหน้าไม่ถูก ก็จำได้ว่าเมื่อเช้าตอนที่เด็กรับใช้พามา เดินผ่านทางนี้...หรือเปล่านะ “ท่านบอกทางมาก็ได้” “เอาเถอะ ข้าจะไปส่ง” เขาไม่ยอมปล่อยข้อมือนาง
“อิงฮวาตั้งใจหน่อยสิ!” นางตำหนิตัวเอง พยายามทบทวนว่าบ่าวคนนั้นบอกทางว่าอย่างไร แล้วขณะที่หันขวาหันซ้ายอยู่ สายลมยามเย็นพัดผ่านเบาๆ นางเห็นผ้าที่ผูกกับกิ่งไม้ที่อยู่ริมทางเดิน นางประหลาดใจว่าผู้ใดผูกเศษผ้าไว้ พอเดินเข้าไปใกล้แล้วมองไปรอบตัวก็เห็นว่ามีเศษผ้าแบบเดียวกันผูกไว้ที่อื่น นางเดินตามไปดูแต่ละชิ้น ทั้งแปลกใจและประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านางไม่เคยเห็นเศษผ้าเหล่านี้มาก่อน ครั้นเดินตามไปเรื่อยก็มารู้ตัวอีกที นางก็หยุดอยู่หน้าห้องตัวเองแล้ว “หรือว่าคนผู้นั้นผูกเศษผ้าบอกทางให้ข้า” นอกจากเขาแล้วจะมีใครที่กล่าวหาว่านางเป็นคนโง่งมหลงทางแม้กับเส้นทางที่...ที่ไม่น่าจะหลงอย่างนี้ หญิงสาวไม่กล้าถามทั้งพ่อบ้านหรือปาน่า ใบหน้าหวานยิ้มเขินอายอย่างไม่รู้ตัว แม้เขาจะติดตามโจวฟู่หรงแต่ก็ยังเป็นห่วงนาง อิงฮวายังอดครุ่นคิดไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วระหว่างเขากับนางมีความสัมพันธ์ใดกันแน่ พอคิดเรื่องนี้ทีไร นางก็ต้องคิดเรื่องจูบของเขา หากว่า...หากว่านางกับเขาเป็นคนรักกันจริง ไยนางเดินทางโดยไม่บอกลาเขาเล่า หรือนางควรจะอยู่ที่เมืองนั้นไม่ใช่รึ หรือท่านพ่อของนางไม่ชอบเขา หรือครอบครัวของเขา
“หัวหน้าโจว”“เข้ามา” จ้าวจิ่นสือร้องบอก ก่อนผลักบานประตูเข้าไป อิงฮวาก้าวตามหลังจ้าวจิ่นสือ พอเขาเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง หญิงสาวก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางรีบหันไปทางจ้าวจิ่นสือที่ยืนกอดอกนิ่ง “หัวหน้าโจว ทำไม...ท่าน...” อิงฮวารีบเข้าไปดูใกล้ๆ โจวฟู่หรงนั่งเหยียดตัวตรงราวกับเสาหิน ใบหน้าซีดเซียว เพราะเขาสวมเสื้อผ้าชุดดำทำให้มองไม่เห็นคราบเลือดนัก แต่กระนั้นหญิงสาวก็ได้กลิ่นคาวเลือดจากชายผู้นี้“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก” โจวฟู่หรงรู้สึกสงสารหญิงสาวที่ต้องตื่นมากลางดึกเพื่อเจอสภาพเขาเช่นนี้ แต่อิงฮวาส่ายหน้าไปมาแล้วหันไปทางจ้าวจิ่นสือ“มีใครตามท่านหมอผู้เฒ่าหรือยัง” หญิงสาวสั่งทันทีแล้วก็เพิ่งนึกได้ “ส่งคนออกไปเชิญท่านหมอแล้ว แต่เราต้องทำเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด จะให้ผู้ใดรู้ไม่ได้ว่าหัวหน้าโจวถูกลอบทำร้าย” จ้าวจิ่นสือพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วหันไปทางโจวฟู่หรง อีกฝ่ายผงกศีรษะอย่างเข้าใจ ก็เพราะเหตุนี้จึงต้องให้นางมาดูแผลให้เขาก่อนอิงฮวาพยักหน้ารับ นางหลุบตาลงก็เห็นคราบเลือดบนพื้นยังเป็นเลือดสดๆ นางรีบเงยหน้าขึ้นทันที“เลือดยังไหลอยู่ เราต้องรีบห้ามเลือดก่อนท่านหมอผู้เฒ่าจะมา ไม่เช่นน
“ต้มยา ให้ใครต้มก็ได้” หมอผู้เฒ่าพูดตัดบท “เจ้าไปพักได้แล้ว”“ขอรับ” เป็นจ้าวจิ่นสือที่เอ่ยแทนมู่ฟางเหนียง เขาวางตะเกียงลงแล้วประคองร่างเล็กไปที่อ่างล้างมือ ช่วยนางล้างคราบเลือดออกแล้วซับด้วยผ้าแห้งพ่อบ้านเข้ามาอย่างรู้หน้าที่ ชายหนุ่มทั้งสองมองตากันก็เข้าใจความหมาย เขาจึงพยุงอิงฮวาเดินออกไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้โจวฟู่หรงจัดการสั่งงานลูกน้องของตนเองถ้านางรู้ว่าคืนนี้ต้องทำแผลให้คนบาดเจ็บหนัก นางคงไม่เอาพลังงานไปทำงานในครัวจนหมดสิ้นสภาพ พอออกมาจากห้องของโจวฟู่หรง ร่างบางก็ปะทะลมเย็นจนต้องห่อตัวและเพิ่งนึกได้ว่าลืมหยิบเสื้อคลุมออกมาด้วย เพียงพริบตาร่างเล็กก็ถูกช้อนตัวอุ้มขึ้น หญิงสาวตกใจรีบยกมือขึ้นคล้องคอของเขาไว้ เผลอกอดแน่นเมื่อเขากระโดดอุ้มนางตัวลอย หญิงสาวหลับตาปี๋ไม่รู้ว่าเขาพานางเหาะเหินมาอย่างไร ก็ต่อเมื่อเขาหยุดนิ่งแล้ว นางจึงลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอ่อนโยนจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว นางหลบสายตาคู่นั้นมองไปทางอื่น จึงรู้ว่าเขาใช้วิชาตัวเบาพานางกลับมาที่หน้าห้องตัวเองเขาปล่อยให้นางยืนแล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดประตูให้“ไม่ต้องเข้ามานะ” นางห้ามไว้ก่อน แล้วก็ยกมือปิดปากที่อ้าหาวด
เพราะยุ่งอยู่จึงไม่ได้สนใจใคร่ถามอะไรมาก อิงฮวาเร่งเท้าเดินกลับไปทางเก่า ตามเส้นทางที่คนผู้นั้นผูกผ้าไว้ให้นางไม่หลงทาง พอเดินมาผ่านศาลาหกเหลี่ยมก็พอจะจำได้ว่าเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงเรือนพักของจ้าวจิ่นสือ อากาศใกล้รุ่งนี่ช่างหนาวเย็นนัก คนตัวเล็กรีบเดินเร็วๆ เกือบจะกลายเป็นวิ่งไปจนสุดทางเดิน นางหอบหายใจทางปาก พ่นเอาควันสีขาวออกมา นางหยุดที่บานประตู ไม่เห็นวี่แววความเคลื่อนไหวใดๆ จึงเรียกเขาเสียงไม่ดังนัก“จ้าวจิ่นสือ...”ไม่รู้เขาอ่อนเพลียหลับลึกหรือว่าบาดเจ็บล้มป่วย นางรออย่างกระสับกระส่าย ไม่เห็นผู้ใดมาเปิดประตูให้ นางเรียกซ้ำอีกหลายครั้งแต่ก็เงียบไร้เสียงตอบกลับ มือเรียวจึงผลักบานประตูเข้าไปอย่างง่ายดาย เรือนพักของเขาคล้ายเรือนพักของนาง เพียงแค่อยู่คนละฝั่งกัน หญิงสาวเดินดุ่มๆ เดาทิศทางของห้องนอน“จ้าวจิ่นสือ ท่านเป็นอะไรหรือไม่” ด้วยความเป็นห่วงจึงร้อนรน รีบเข้าไปผลักม่านที่เตียงของเขาออก ทว่ามือข้างนั้นกลับถูกกระชากอย่างแรงและรวดเร็วจนหญิงสาวไม่ทันเปล่งเสียง เพียงพริบตาร่างเล็กก็ถูกเหวี่ยงขึ้นเตียงและถูกตรึงให้นอนหงายอยู่เบื้องล่างร่างกายใหญ่โตของเขา ดวงตาคมวาวดุจคมกระบี่จ้องมอง
จ้าวจิ่นสืออยากจะรั้งนางไว้ หยิบเสื้อคลุมให้นางก่อน แต่นางก็วิ่งออกไปแล้ว เขาได้แต่ส่ายหน้าไปมา นางเหมือนกระต่ายป่าปราดเปรียว เห็นทีว่ากลับไปครั้งนี้เขาคงต้องหาตะกร้าใบใหญ่ๆ ขังนางไว้ไม่ให้หนีหายไปไหนอีก ‘อย่ากินข้าเลยนะ ข้า..ข้าไม่อร่อยหรอก’พลันคิดถึงคำพูดของนาง เขาก็หัวเราะออกมา ยกนิ้วโป้งขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง คิดถึงรสหวานละมุนจากเรือนกายของนางใครบอกเนื้อของนางไม่อร่อย มันแสนจะหวานล้ำ ชวนให้แทะเล็มละเลียดกินทีละคำก่อนกลืนกินนางทั้งเป็นหญิงสาววิ่งกลับไปที่ครัวอีกครั้งก็สว่างมากแล้ว หลายคนทยอยเข้ามาช่วยงานในครัว ปาน่าเงยหน้ามาเห็นนางก็รีบกวักมือเรียก“เมื่อครู่พ่อบ้านให้เด็กมาบอกว่ายกยาไปให้หัวหน้าโจวได้แล้ว”“เจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับ “โจ๊กเสร็จแล้ว ข้าจะยกไปพร้อมกันเลย”เพราะไม่ต้องการให้ใครสงสัย นางจึงให้เด็กรับใช้ยกโจ๊กไปพร้อมกับอิงฮวาที่ยกถ้วยยา เมื่อไปถึงห้องของโจวฟู่หรง เขาก็นั่งอยู่ก่อนแล้ว สวมเสื้อคลุมหลวมๆ ท่วงท่าสง่างามไม่เหมือนคนบาดเจ็บหนักเลยสักนิด พ่อบ้านไล่เด็กรับใช้ออกไปแล้ว อิงฮวาก็เดินเข้าไปยื่นถ้วยยาให้เขาดื่ม หญิงสาวสังเกตแขนขวาที่ทิ้งข้างตัวนิ่งคล้ายเขาจะขยับไ
“ไหนบอกว่าหิว ทำไมกินนิดเดียว” เขาบ่นพึมพำที่เห็นนางกินคำเล็กๆ แม้เขาจะเคยถูกเลี้ยงดูในวังหลวง แต่เมื่อใช้ชีวิตในกองทัพก็กินอยู่ง่ายๆ ไม่เรื่องมาก เขาคีบเนื้อปลาวางไว้บนถ้วยข้าวของนาง“กระเพาะข้าเล็ก กินแค่พออิ่มก็อยู่ได้” นางขึงตาใส่ แต่เขากลับเห็นเป็นเรื่องขบขัน คงเพราะเมื่อเช้าเขาแกล้งนางแรงไปนิด นางจึงยังเคืองเขาอยู่บ้าง “แต่กับของอร่อย กินยังไงก็ไม่อิ่ม” การจงใจพูดของเขาทำให้นางชะงักไป พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแววตาหยอกล้อ หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้นคนบ้า! นางตั้งใจจะลืมเรื่องนั้นไปแล้วแท้ๆ มาสะกิดให้นางคิดทำไมนะ!จ้าวจิ่นสือเห็นนางเดือดดาลแต่โต้กลับไม่ได้ก็กลั้นหัวเราะ อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ตั้งใจยุติการก่อกวนของตนเองแล้วจัดการกินมื้อเช้าจนเสร็จเรียบร้อยพอกินมื้อเช้าเสร็จ อิงฮวาตั้งใจจะหมกตัวเองในครัว แต่จ้าวจิ่นสือไม่ยอมห่างนาง ปาน่าเห็นแล้วแสนจะรำคาญจึงออกปากไล่คนทั้งสองออกจากครัวของนาง“เจ้าสองคนนี้ไปเล่นที่อื่นไป!”แทนที่จ้าวจิ่นสือจะหน้าเสีย เขากลับหัวเราะในลำคอดุจแผนการของตนเองลุล่วง เขาจับข้อมือนางกึ่งลากกึ่งจูงออกไป“จะพาข้าไปไหน”“ไม่ไปไหนหรอก อยู่แถวนี้แหละ รอใ
เจ้ากระต่ายน้อยทำอวดดี แต่จริงๆ ก็กลัวถูกเขาจับกินเสียแล้ว เพราะหยุดพักและเดินทางไม่รีบเร่ง ทำให้ใช้เวลากว่าสองชั่วยาม จ้าวจิ่นสือก็พาอิงฮวามาถึงหมู่บ้านธารจันทร์ ชนเผ่าขนาดเล็ก มีผู้คนอาศัยอยู่ราวห้าร้อยชีวิต บ้านเรือนเป็นลักษณะกระโจม อยู่เรียงรายใกล้แม่น้ำ เขาควบม้าไปยังกระโจมของผู้เฒ่าเจี่ยน ผู้เฒ่าที่ได้รับความนับถือของหมู่บ้าน เขาลงจากม้าแล้วจึงยื่นมือไปประคองให้นางลงมา ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นนางทำหน้าขรึม แววตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม เขาทำอะไรผิดไปละนี่! “พวกเจ้ามาแล้วรึ” ผู้เฒ่าเจี่ยนร้องทัก “ขอรับ” จ้าวจิ่นสือพยักหน้าอย่างนอบน้อม แล้วเอื้อมมือดันแผ่นหลังของหญิงสาวตัวเล็กให้ก้าวมาข้างหน้า นางดูประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะย่อตัวคารวะผู้เฒ่าเจี่ยน “ข้าน้อยอิงฮวาเจ้าค่ะ” ผู้เฒ่าเจี่ยนเพียงแค่พยักหน้ารับแต่ไม่พูดหรือถามอะไร หมุนตัวหันหลังให้ เดินโดยมีไม้เท้าช่วยพยุง แต่กระนั้นก็ยังดูกระฉับกระเฉงยิ่งนัก สองหนุ่มสาวเดินตามผู้เฒ่าเจี่ยนไปยังกระโจมใหญ่หลังหนึ่งที่ตั้งห่างจากกระโจมอื่นอยู่พอสมควร
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน
“เจ้าจะรีบไปไหนกัน!” “ข้าหายดีแล้ว จะไปหาฟางเหนียง” เขาควรรีบไปอธิบายกับนาง เมื่อวานส่งจดหมายแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องภารกิจลับเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางกลับพร้อมรับมู่ฟางเหนียงไปด้วยเลย โธ่! ยังมิทันไรก็เป็นพวก ‘เกรงใจภรรยา’ เสียแล้ว เหวินเฮ่าหลันได้แต่คลี่พัดโบกไปมา ปกปิดสีหน้าระอาใจ เป็นบุรุษองอาจ ไฉนต้องมาพะวักพะวนกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ “เจ้ารออยู่นี่แหละ เดี๋ยวนางก็มาแล้ว” “เฮ่ย!” “เจ้าจะร้องอะไร” เหวินเฮ่าหลันเห็นอาการของสหายแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ได้ยินมาจากเคอหลิ่งหลินว่าจ้าวจิ่นสือบาดเจ็บแต่ไม่ให้เรียกมู่ฟางเหนียงมาทำแผลเพราะเกรงใจที่เป็นเวลาพักผ่อนของนางแล้ว อย่างไรนางก็จะเป็นภรรยาอยู่แล้ว หน้าที่ภรรยาดูแลสามีก็ถูกแล้ว จะค่ำหรือสว่างจะเป็นไรไป เดือดร้อนต้องไปตามหมอผู้อื่นมารักษาให้ แม้จะไม่ใช่บาดแผลสาหัสก็เถอะ “ข้ายังไม่ได้อธิบายกับนาง นางมาเจอข้าแบบนี้...” “เจ้านี่! เป็นถึงรองแม่ทัพ! อย่ามาทำตัวกลัวเมียให้เสียชื่อหน่อยเลย!” เหวินเฮ่าหลันกดเสียงต่ำ เรื่องแบบนี้พ
เคอหลิ่งหลินก็เห็นหญิงสาวในชุดแดงหน้าตาซีดเซียว นางมาไม่ทันจึงไม่รู้ว่าหญิงนางนี้มีเรื่องแค้นใดกับจ้าวจิ่นสือ แต่ด้วยความสงสารในท่าทีสับสนและดูเคว้งคว้างของนางจึงเดินเข้าไปใกล้ หมายจะปลอบประโลมให้สงบใจ“แม่นาง อย่างไรแล้วค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด เจ้ามีบาดแผล ให้ข้าดูหน่อยจะเป็นไร” เคอหลิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทำให้ร่างของหญิงสาวในชุดแดงแข็งทื่อ กวาดตาจ้องมองคนทั้งหมด คนพวกนี้พูดคุยเหมือนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่นางนั้นเล่า ไร้ผู้ใดไม่มีใครอีกแล้ว ความเศร้าหมองและหดหู่กัดกินจิตใจ มือบางกำด้ามกริชแน่นขึ้น หมายมั่นจะเอาชีวิตของจ้าวจิ่นสือให้ได้ นางพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดหวาดกลัวและไม่สนใจว่านางอาจถูกฝ่ามือซัดกลับจนถึงแก่ชีวิตช่างปะไร นางจะได้ไม่ต้องเดียวดายอีกแล้ว“จิ่นสือ!” เป็นเสียงเคอหลิ่งหลินที่หวีดร้องอย่างตกใจ น้องชายนางกลับไม่หลบยืนนิ่งปล่อยให้หญิงนางนั้นแทงกริชเข้าชายโครงด้านซ้ายของเขา เพราะคิดว่าจ้าวจิ่นสือจะหลบหลีกหรือตอบโต้ได้ จึงไม่มีใครขวางหรือเข้าไปช่วย ทุกคนจึงตื่นตะลึง แม้แต่หญิงผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า! ไยไม่หลบข้า!” หญิงสาวในชุดแดงปล
แต่กระนั้นอีกฝ่ายกลับไม่ลดความพยายาม เตรียมพุ่งกริชเล่มเดิมนั้นใส่จ้าวจิ่นสืออีก นั่นหมายความว่าเขาคือคนที่นางต้องการชีวิต ร่างบางง้างมือขึ้นแต่ยังไม่ทันไร แสงวาบหนึ่งก็พุ่งผ่านเฉียดมือนางไปเล็กน้อย แต่ก็กรีดผิวเรียกเลือดสีเข้มกระเซ็นออกมา หญิงสาวหวีดร้องอย่างตกใจแต่ไม่ยอมทิ้งกริชเพียงแค่ยกมือกุมบาดแผลแล้วมองมีดสั้นที่ปักบนผนังห้องก่อนจะตวัดสายตามองไปทางหน้าต่าง ผู้มาใหม่กระโจนเข้ามา ใบหน้ามีหน้ากากอสูรปกปิดครึ่งหน้าด้านบน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นนาง คราวนี้จ้าวจิ่นสือจับกระบี่ขึ้นมา แต่หัตถ์เทวะกลับยกมือโบกไปมาคล้ายไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แล้วเดินวนเวียนรอบกายหญิงสาว ดวงตาคู่งามนั้นไร้แววหวาดกลัวแต่กลับวาวโรจน์ดุจแมวป่า ‘ช่างน่าสนใจนัก!’ “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เป็นจ้าวจิ่นสือที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เห็นชัดว่าชายผู้นั้นไม่ได้รู้จักหญิงสาวในชุดสีแดง “เป็นข้าควรถามเจ้ามากกว่า” หัตถ์เทวะหันมาทางจ้าวจิ่นสือ “ข้านึกว่าเรามีเรื่องสนทนากันตามลำพัง” “เจ้าไม่ได้ส่งนางผู้นี้มาทำร้ายข้าหรอกหรือ” ฝีมืออย่างนาง... จ