พูดจบ ไป๋เหยียนเฟยก็เข้าใจในที่สุด“เอาล่ะ! เช่นนั้นข้าก็รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร!”ไป๋เหยียนเฟยสูดหายใจเข้าลึก ๆ แววตาฉายความกังวล“ท่านอา ถ้าตระกูลเซิ่งลงมือ ท่านต้องระวังคนรอบข้างด้วยนะเจ้าคะ!”ไป๋เฟยเฟยเตือนนางอีกครั้ง เมื่อได้ยิน ไป๋เหยียนเฟยก็ยกยิ้ม แล้วมองไปทางสาวใช้ส่วนตัวที่นางเชื่อใจมากที่สุดฝ่ายหลังพยักหน้าทันที “น้องสาว ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น”“ข้ารู้จักสาวใช้ในวังดี โดยเฉพาะคนที่ตระกูลเซิ่งติดสินบน ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของข้าทั้งสิ้น!”หลังจากสาวใช้กล่าวจบ ไป๋เฟยเฟยก็ยกยิ้มแล้วพูดว่า “มีพี่สาวอยู่ที่นี่ด้วย ข้าย่อมโล่งใจ!”นางผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นางเป็นคนของตระกูลไป๋ที่ฝึกฝนทักษะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ความสามารถไม่ธรรมดา จึงถูกวางตัวไว้ข้างกายไป๋เหยียนเฟย เพื่อคอยปกป้องนาง!“เฟยเอ๋อร์ สถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้ที่นี่ ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำตามที่พี่ใหญ่บอก”ไป๋เหยียนเฟยยกยิ้ม ย่อมเข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้“ท่านอา เช่นนั้นเฟยเอ๋อร์ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”ไป๋เฟยเฟยยกยิ้มอ่อน จากนั้นหันหลังเดินออกไปพร้อมกับสาวใช้หลั
แม้นางจะรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี เพราะตระกูลไป๋ก็ต้องการแย่งชิงอำนาจเช่นกัน!แต่นางก็ยังชอบวีรบุรุษผู้กล้าหาญเช่นนี้!หวังหยวน...ถือว่าเป็นวีรบุรุษได้หรือไม่?แต่ว่าเขาไม่ใช่วีรบุรุษผู้อาจหาญเช่นนั้น...“ช่างเถอะ...”นางส่ายหน้า อย่าคิดเรื่องนี้อีกเลย!หลังจากที่ไป๋เฟยเฟยจากไป ฮองเฮาไป๋เหยียนเฟยก็เริ่มทำหน้าที่ทันที“เตรียมอาหารและสุราดี ๆ ถวายแก่ฝ่าบาท เมื่อเสด็จมายังตำหนักคุนหนิง”ไป๋เหยียนเฟยพูดพร้อมยื่นของให้สาวใช้สาวใช้พยักหน้า แล้วออกไปทันทีในขณะนี้ ฮ่องเต้ซิงหลงยังคงกังวลว่าจะส่งใครเป็นทูตไปหาพวกป่าเถื่อนเขาไม่รู้เลย ว่าอีกไม่นานกำลังจะได้ไปเดินเล่นหน้าประตูนรกหากไม่ใช่เพราะการเสียสละของหวังหยวน เขาคงตายในเวลาไม่ถึงสองวัน!“ฝ่าบาท ฮองเฮาตรัสว่าอยากเชิญท่านไปยังตำหนักคุนหนิงในคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ”ขันทีจากไป อดที่จะยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยิน ฮ่องเต้ซิงหลงก็คลายกังวลเขารักไป๋เหยียนเฟยมาก ยิ่งมีพระโอรสด้วยแล้ว ก็ย่อมอยากไปเยี่ยมนางบ่อยขึ้นคิดเช่นนั้น เมื่อเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว จึงเสด็จไปยังตำหนักคุนหนิงเมื่อไป๋เหยียนเฟยเห็นฮ่องเต้ซิงหลงเสด็จมาที่ตำหนักของนาง นางก็คำนั
ณ ส่วนลึกของวังหลวง เสียนกุ้ยเฟยกำลังจัดดอกไม้และดื่มชาอยู่ที่ลานตำหนักทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สาวใช้ส่วนตัวของเสียนกุ้ยเฟยเดินเข้ามาอย่างระมัดระวังนางยืนอยู่ด้านหน้าเสียนกุ้ยเฟย โค้งคำนับด้วยความเคารพ แล้วพูดว่า “เสียนกุ้ยเฟย มีคนมาขอพบท่านอยู่ด้านนอกประตูเพคะ”เสียนกุ้ยเฟยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองสาวใช้ส่วนตัว แล้วถามด้วยความสงสัย “ใครมาขอพบข้า?”นี่ก็ดึกมากแล้ว ใครจะมาหาในเวลานี้?สาวใช้ส่วนตัวรีบตอบ “มาจากตระกูลเซิ่งเจ้าค่ะ”“ตระกูลเซิ่งหรือ?”เมื่อได้ยิน เสียนกุ้ยเฟยก็ยิ้มร่า นางโบกมือให้สาวใช้ส่วนตัวด้วยความตื่นเต้น แล้วพูดอย่างเร่งรีบว่า “รีบให้เข้ามาเถิด!”นางไม่ได้เจอคนในครอบครัวมานานแล้ว ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในวังหลวง เมื่อได้ยินว่าคนที่มาขอพบเป็นคนของตระกูลเซิ่ง ก็ไม่อาจซ่อนสีหน้าที่มีความสุขได้!นางรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู เตรียมทักทายไม่นานสาวใช้ก็เข้ามาพร้อมกับคนผู้หนึ่ง ชายร่างสูงสวมเสื้อคลุมสีดำดั่งความมืดมิดยามราตรีเขาเดินไปหาเสียนกุ้ยเฟย ค่อย ๆ ถอดหมวกออก เผยให้เห็นใบหน้าตัวเอง“น้องรอง”“ท่านพี่หรือ?”เสียนกุ้ยเฟยดีใจมาก นางก้าวเข้าไปหาด้วย
“ดังนั้นเราจึงต้องฉวยโอกาสจากสถานการณ์ตอนนี้ ชิงกำจัดฮ่องเต้ก่อน!”เมื่อเห็นสีหน้าอันเกรี้ยวกราดของพี่ชาย สีหน้าของเสียนกุ้ยเฟยก็เปลี่ยนไปทันทีนางยังมีความรู้สึกต่อฮ่องเต้อยู่ ไม่อาจกลั้นใจลงมือทำได้เสียนกุ้ยเฟยกัดริมฝีปากสีแดงของตน แล้วกระซิบอย่างลังเล “แต่เด็กคนนั้นอายุเพียงสองหรือสามวันเท่านั้น ยังเด็กนัก หากจะลงมือตอนนี้ ไม่เร็วเกินไปหรือเจ้าคะ?”“เร็วเกินไปหรือ?”เซิ่งฟางสี่พ่นลมหายใจแรง แล้วยืนเอามือไพล่หลัง ดูไม่พอใจนัก“หากฮองเฮาให้กำเนิดธิดา เราคงจะรอดูอีกสองสามปีก่อนที่จะลงมือ แต่นางกลับให้กำเนิดโอรส ชะตาของนางจึงต้องย่ำแย่!”“ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการลงมือ เจ้าวางยาพิษฝ่าบาท ส่วนข้าจะส่งคนไปสังหารฮองเฮา หากไม่มีผู้ใดปกครองแผ่นดิน ก็จะเกิดความวุ่นวาย!”“พวกเขาคงไม่อาจให้เด็กทารกแรกเกิดขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้ ใช่หรือไม่?”เซิ่งฟางสี่เดินไปหาเสียนกุ้ยเฟย แล้วพูดอย่างจริงจัง “บุตรของเจ้าเป็นโอรสองค์โต ซึ่งฉลาดที่สุดในบรรดาองค์ชาย เมื่อเวลานั้นมาถึง เหล่าขุนนางจะต้องเลือกเขาเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แน่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าฝันถึงหรอกหรือ?”หัวใจของเสียนกุ้ยเฟยเต้นระรัว นาง
หลังจากสาวใช้ในวังพูดจบ สีหน้าของเสียนกุ้ยเฟยและเซิ่งฟางสี่ก็เปลี่ยนไป!“เจ้าพูดเรื่องอะไร! ฝ่าบาททรงหมดสติไปงั้นหรือ?”ใบหน้าของเสียนกุ้ยเฟยเป็นกังวลมาก นางรีบเดินไปหาสาวใช้ส่วนตัว แล้วถามด้วยความร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้น อธิบายมาให้ชัดเจน!”“หม่อมฉันไม่ทราบรายละเอียดเพคะ ได้ยินเพียงว่าฮ่องเต้ทรงหมดสติไปในตำหนักฮองเฮา หมอหลวงรายงานว่าพระองค์อาจจะสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ!” ได้ยินเช่นนั้น เสียนกุ้ยเฟยก็มองไปที่เซิ่งฟางสี่โดยไม่รู้ตัว“ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน!”เสียนกุ้ยเฟยรู้ทันทีว่าพี่ชายมีบางอย่างจะพูดกับนาง นางหันหลังให้กับสาวใช้ส่วนตัวทันที มองเซิ่งฟางสี่ด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วรีบถาม “ท่านพี่ ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี?”ใบหน้าของเซิ่งฟางสี่เคร่งขรึม เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “อาการประชวรของฝ่าบาทช่างแปลกนัก...”“เรากำลังจะเริ่มดำเนินการ แต่ฝ่าบาทก็ทรงหมดสติไปเสียก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าตระกูลไป๋เริ่มลงมือก่อนหน้าเราแล้ว?”เสียนกุ้ยเฟยรู้สึกกังวล ถามอย่างร้อนรน “ฝ่าบาทอาจแค่ทรงประชวร อาจเป็นเพียงความเข้าใจผิดก็ได้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”“ถึงอย่างไร บุตรของฮองเฮาก็ยังทรงพระเยาว์ แม้นางจะว
เป็นไปได้หรือไม่ที่การคาดเดาของพี่ชายจะถูกต้อง นี่เป็นฝีมือของฮองเฮาจริงหรือ?เมื่อเงยหน้ามองฮองเฮาอีกครั้ง กลับพบว่าสีหน้าของนางกลายเป็นสงบนิ่งเหมือนทุกครั้ง ราวกับว่าสีหน้าท่าทางที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ นางตาฝาดไปเองขณะนี้ ในใจฮองเฮาไม่ได้มีความมั่นใจมากนักนางกังวลว่าหมอหลวงจะรู้ว่านางวางยาพิษฝ่าบาท หากการกระทำที่เสี่ยงนี้ผิดพลาด นางจะต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่!แต่สิ่งที่หมอหลวงพูดต่อจากนั้น ก็ทำให้ความกังวลใจและความกระวนกระวายของนางหายไป!หมอหลวงจางถอนมือออก ลุกขึ้นยืนช้า ๆ ก้มหัวให้ฮองเฮา แล้วกล่าวว่า “ฮองเฮา ไม่ต้องกังวลพระทัย ฝ่าบาทเพียงหมดสติไปเนื่องจากการทำงานหนักในช่วงนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“พักผ่อนให้มาก พรุ่งนี้เช้าอาการพระองค์ก็จะดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้น ความเครียดและความไม่สบายใจบนใบหน้าก็คลายไปในที่สุดนางสนมหลายคนที่กำลังร้องไห้ ต่างก็หยุดร้องไห้ทีละคนโชคดีที่ฝ่าบาทไม่เป็นอะไร!หลังจากพบหมอหลวงแล้ว ฮองเฮาก็โบกมือให้พวกนางสนมทันที พร้อมตรัสเบา ๆ ว่า “เอาล่ะ ในเมื่อฝ่าบาทสบายดี ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด พวกเจ้าทุกคนก็กลับไปได้แล้ว”ฮองเฮาโบก
ความเคร่งขรึมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสียนกุ้ยเฟย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดเบา ๆ “ตอนแรกข้าก็สงสัยว่าฮองเฮาเป็นคนทำเจ้าค่ะ …”“แต่มีหมอหลวงหลายคนมารักษาฮ่องเต้ การวินิจฉัยไม่อาจผิดพลาดได้ แต่ว่าท่านพี่เจ้าคะ มีบางอย่างน่าสงสัยมาก ขณะที่หมอหลวงกำลังรักษาฮ่องเต้ สีหน้าของฮองเฮาดูมีความกังวลเล็กน้อย!”“หากนางไม่ได้วางยาพิษฝ่าบาท เหตุใดถึงกังวลนักเล่า?”ใบหน้าของเซิ่งฟางสี่ยิ่งเคร่งขรึม เขาพยักหน้าและพูดเบา ๆ “มีความเป็นไปได้เพียงสองประการ”“ประการแรก ตระกูลไป๋ไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร มันก็บังเอิญเกินไป ความบังเอิญนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”“ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็ปล่อยให้ฝ่าบาทมีชีวิตต่อไปอีกสักหน่อย ยังไม่ต้องทำอะไร”เซิ่งฟางสี่นิ่งไปชั่วขณะ จึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อีกประการหนึ่ง เรื่องนี้เป็นฝีมือของตระกูลไป๋”“พวกเขาโง่มากที่ลงมือตอนนี้ ทำตัวเองแท้ ๆ นอกจากจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ แล้ว ยังเป็นการช่วยเราอีกต่างหาก!”เซิ่งฟางสี่ยิ้มเล็กน้อย พ่นลมหายใจออกมาอย่างภาคภูมิ“หลังเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ เหล่าขุนนางจะต้องเป็นกังวลเป
ฮ่องเต้ซิงหลงรู้สึกหนักใจอย่างยิ่ง อดพูดไม่ได้ว่า “เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือ?”ดวงตาของไป๋เหยียนเฟยแดงก่ำ นางเริ่มพูด “ฝ่าบาท พระองค์ทรงกังวลเรื่องกิจการบ้านเมืองมากเกินไป หมอหลวงบอกว่าพระองค์ชี่และเลือดเสียสมดุล ไม่ใช่อาการป่วยร้ายแรง พระองค์แค่ต้องดูแลพระวรกายให้ดีเพคะ”“สาวใช้ของข้าปรุงยาบำรุงให้พระองค์แล้ว ดื่มให้รู้สึกดีขึ้นเถิดนะเพคะ”ฮ่องเต้ซิงหลงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ยังคงรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อยแท้จริงแล้ว เขามีความสงสัยในใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้“เรียกหมอหลวงมา ข้าอยากถามเรื่องอาการของข้า”ไป๋เหยียนเฟยย่อมไม่ใส่ใจ นางได้เชิญหมอหลวงทุกคนในราชสำนักมามากถึงเจ็ดหรือแปดคนพวกเขาทั้งหมดมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซิงหลง หลังจากตรวจชีพจรของเขาแล้ว ก็พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ!เป็นเพียงชี่และเลือดเสียสมดุลเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากความเหนื่อยล้า“ฝ่าบาท การสูญเสียพละกำลังของพระองค์ อาจเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือโหมงานมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง แค่ต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวังเท่านั้น พระองค์ก็จะหายดีพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงทั้งหลายพูดอย่างเร่งรีบ พูดจบ ฮ่องเต้ซิงหลงก็พยักหน้า“เหตุใดอากา
“ไล่ตามไป!”“ห้ามปล่อยให้พวกมันหนีไปได้!”“หากฆ่าพวกหวังหยวนไม่ได้ กลับไปพวกเราคงหัวหลุดจากบ่าเป็นแน่!”หัวหน้าคนนั้นตะโกนลั่น ลูกน้องรีบวิ่งตามไปติด ๆ!เดิมทีคิดว่าหวังหยวนหยุดอยู่ที่นี่คงจะสู้ตาย แต่ไม่คาดคิดว่าหวังหยวนกลับพาลูกน้องวิ่งหนีอย่างกับหมาตกน้ำงั้นหรือ?หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงจะอับอายขายหน้า!“หากท่านไม่ได้เตรียมการไว้ เหตุใดจึงบอกให้พวกเราหยุด?”“ยิ่งกว่านั้น! ท่านยังไปยั่วโมโหพวกมันอีก! นี่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวไม่ใช่หรือ?”หลิ่วหรูเยียนบ่นอุบอิบส่วนไป๋ลั่วหลีเพียงแค่ติดตามหวังหยวน ไม่ได้เอ่ยคำใด“หากรวมพวกเราด้วยมีทั้งหมดยี่สิบสี่คน! ในจำนวนนี้มีคนซ่อนตัวอยู่ยี่สิบคน ข้าคิดว่าฝ่ายตรงข้ามคงส่งคนมาเท่า ๆ กับพวกเรา!”“เช่นนั้นพวกเราก็จะจัดการพวกมันได้ง่ายดาย!”“แต่ข้าไม่คาดคิดว่าซือฟางจะลงทุนส่งคนมาลอบสังหารพวกเรามากมายถึงเพียงนี้!”“หากพวกเราสู้กับพวกมันตรงนี้ คนที่รอดออกจากป่าคงมีไม่ถึงสิบคน!”หวังหยวนกล่าวถึงความกังวลในใจหลิ่วหรูเยียนขมวดคิ้ว ช่างน่าเจ็บใจนัก!ซือฟางช่างหน้าไหว้หลังหลอก เมื่ออยู่ในเมืองหลวงทำเป็นปล่อยพวกเขาไป แต่กลับส่งคนมาดักฆ่าในตอนนี
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเรากำลังเดินวนอยู่”“แต่หากไม่ทำเช่นนี้จะทำให้คนพวกนั้นสับสนได้อย่างไร?”จู่ ๆ หวังหยวนก็มองไปทางด้านหลังราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างทุกคนต่างมองตาม ซือฟางก็เช่นกัน เขารีบลุกขึ้นยืนมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังหวังหยวนผ่านสมรภูมิมามากมาย ย่อมมีความเฉียบคมเหนือคนทั่วไป!“พี่ใหญ่!”“ในป่ามืดเช่นนี้ ต่อให้มีคนซ่อนอยู่ พวกเราก็คงหาตัวเจอได้ยากไม่ใช่หรือขอรับ?”“ท่านแน่ใจหรือขอรับว่ามีคนตามมา?”ซือฟางถามด้วยความสงสัยหวังหยวนไม่ได้ตอบ แต่กล่าวว่า “พวกมันตามเรามานานแล้ว ที่นี่น่าจะลึกเข้ามาในป่าแล้วกระมัง?”“ข้าว่าพวกเจ้าลงมือตรงนี้เลยก็ได้!”“หากไปต่อ เมื่อพวกเราออกจากป่า พวกเจ้าก็จะหมดโอกาสสังหารพวกเรา!”หวังหยวนยืนกอดอกด้วยท่าทางองอาจสิ้นคำของเขา พลันมีเสียงดังมาจากในป่า ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า เงาร่างมากมายปรากฏตัวขึ้นล้อมพวกหวังหยวนไว้!มองดูแล้วมีมากกว่าร้อยคน!ทุกคนสวมหน้ากากใส่ชุดดำ ถือดาบยาวสีเงินวาววับอยู่ในมือ!เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี!“ยอดเยี่ยม!”ในกลุ่มคน มีบุรุษคนหนึ่งเดินออกมามองไปที่หวังหยวน เขากอดดาบไว้พลางกล่าวว
“ท่านคิดจะจับหวังหยวนไว้ที่นี่จริงหรือ?”“หากฆ่ามัน คนของมันจะยอมไว้ชีวิตพวกเราหรือ?”“ยิ่งไปกว่านั้น หวังหยวนเป็นที่รักของประชาชน หากเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ แล้วข่าวแพร่ออกไป พวกเราก็คงไม่รอด...”ได้ใจประชาชนย่อมได้ครองแผ่นดินเจี๋ยงโฉ่วอีเข้าใจเรื่องนี้ดี น้ำสามารถพยุงเรือก็สามารถคว่ำเรือได้ หากทำให้ประชาชนลุกฮือย่อมจะสายเกินแก้!“แต่หวังหยวนพาไป๋ลั่วหลีไปด้วย นางเป็นตัวแปรสำคัญ!”ซือฟางถอนหายใจยาวเจี๋ยงโฉ่วอีหรี่ตากล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า “แล้วจะทำเช่นไร? ในเมืองหลวง พวกเราทำอะไรหวังหยวนไม่ได้ เพราะต้องหยุดทุกคนไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้ในภายหลัง!”“แต่หวังหยวนออกจากเมืองหลวงไปแล้ว กำลังเดินทางไปชนเผ่าทางเหนือ คนแถวนั้นล้วนเป็นคนป่าเถื่อน! หากหวังหยวนตายระหว่างทางคงไม่แปลกใช่หรือไม่?”ทันใดนั้น ซือฟางก็เข้าใจความหมายของเจี๋ยงโฉ่วอีเขายกนิ้วให้เจี๋ยงโฉ่วอี แล้วกล่าวว่า “ว่ากันว่าคนโหดเหี้ยมจึงจะได้เป็นใหญ่ ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง! โดยเฉพาะพวกบัณฑิตอย่างท่าน ช่างมีเล่ห์เหลี่ยมมากมายเหลือเกิน”“การมีท่านเป็นสหาย ข้ารู้สึกยินดีนัก!”“ข้าจะไปจัดการ ครั้งนี้ข้าจะให้หวังหยวนและพรรค
หลังจากหวังหยวนสั่งการ คนของเขาต่างแยกย้ายกันไป กลุ่มหนึ่งติดตามหวังหยวนไปยังชนเผ่าทางเหนือ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าเข้าไปยังจุดต่าง ๆ ในเมืองหลวงไป๋หมิงเพิ่งขึ้นครองราชย์ ซือฟางและเจี๋ยงโฉ่วอีก็คอยช่วยเหลือย่อมต้องเข้าควบคุมราชการแผ่นดิน เมืองหลวงจึงถูกควบคุมอย่างเข้มงวดหากเป็นคนอื่น หวังหยวนคงจะกังวลใจ แต่คนที่อยู่ที่นี่คือเกาเล่อ หวังหยวนจึงวางใจได้ด้วยนิสัยและความสามารถของเกาเล่อย่อมไม่ทำให้เขาผิดหวังและจะไม่เกิดปัญหาขึ้น!“เจ้าจะไปชนเผ่ากับพวกข้าหรือจะอยู่ในเมืองเพื่อดูแลเกาเล่อ?”“ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า” หวังหยวนมองไปที่ไป๋ลั่วหลีไป๋ลั่วหลีเป็นคนสนิทของไป๋อวิ๋นเฟย นับตั้งแต่ไป๋เหยียนเฟยป่วย นางก็คอยดูแลไป๋อวิ๋นเฟยมาตลอด บัดนี้ถึงคราวคับขัน ไป๋อวิ๋นเฟยก็ถูกกักบริเวณ หวังหยวนไม่อยากบังคับไป๋ลั่วหลี จึงให้นางตัดสินใจเอง“ข้าอยู่ในเมืองก็คงช่วยอะไรไม่ได้...”ไป๋ลั่วหลีถอนหายใจ มองไปทางที่เกาเล่อจากไปก่อนกล่าวว่า “แม้ซือฟางและเจี๋ยงโฉ่วอีจะรู้ว่าท่านหวังมีองค์กรเครือข่ายผีเสื้อคอยทำงานลับให้ และท่านเกาคือหัวหน้า แต่พวกมันไม่เคยเห็นหน้าท่านเกา”“หากข้าอยู่ที่นี่ เก
ทุกคนมองหน้ากัน แล้วต่างพากันยกนิ้วให้หวังหยวนในตอนนี้หลิ่วหรูเยียนเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดหวังหยวนจึงมีสตรีมากมายอยู่เคียงข้าง เพราะเขามีเสน่ห์ที่ทำให้คนอยู่ด้วยรู้สึกปลอดภัยอย่างแท้จริง!ความรู้สึกนี้ช่างดีเหลือเกิน!“เหตุใดท่านไม่พาองค์ชายมาด้วยเล่าเจ้าคะ?” ไป๋ลั่วหลีถามหวังหยวนโบกมือ กล่าวว่า “ข้าก็อยากพาองค์ชายมาด้วย แต่เจ้าก็เห็นแล้วว่าซือฟางและเจี๋ยงโฉ่วอีคิดการใหญ่”“การโจมตีค่ายเสบียงอาจทำให้พวกเขาหวั่นเกรงได้ แต่เมื่อเทียบกับไป๋อวิ๋นเฟยแล้ว แน่นอนว่าไป๋อวิ๋นเฟยสำคัญกว่า!”“หากพวกเขาควบคุมตัวไป๋อวิ๋นเฟยไว้ได้ ก็จะกำจัดปัญหาทั้งหมด! สามารถใช้พระนามขององค์ชายควบคุมขุนนางและกองทัพได้!”“แต่หากปล่อยไป๋อวิ๋นเฟยไป ต่อให้พวกเขาแย่งชิงราชบัลลังก์จากไป๋หมิงได้หรือทำให้ไป๋หมิงเป็นหุ่นเชิด ผลลัพธ์ก็เดาได้ไม่ยาก ไป๋อวิ๋นเฟยจะรวบรวมกำลังต่อสู้กับพวกเขา!”“พวกเขาเป็นคนฉลาด จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ดีได้อย่างไร?”“ก่อนที่อำนาจของพวกเขาจะมั่นคง พวกเขาจะไม่ทำร้ายไป๋อวิ๋นเฟย เจ้าสบายใจได้!”“แต่หากพวกเราดึงดันพาไป๋อวิ๋นเฟยไป นั่นแหละจะเป็นการทำร้ายเขา!”ไป๋ลั่วหลีเข้าใจแล้ว ทั้งห
“เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกข้าไร้มารยาท...”ซือฟางหัวเราะเยาะ โบกมือให้เหล่าทหาร แล้วกล่าวว่า “ขวางนางไว้ แต่อย่าทำร้ายท่านหวังและคนของเขา!”ช่างมีน้ำใจนัก!น่าเสียดาย หวังหยวนยังคงจับมือไป๋ลั่วหลีไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย!ไป๋ลั่วหลีเป็นคนของไป๋อวิ๋นเฟย บัดนี้ยังติดตามไป๋อวิ๋นเฟยบุกเข้าวังหลวง ถือเป็นการล้ำเส้นซือฟางและพรรคพวกหากปล่อยนางไว้ในวังหลวง นั่นก็เท่ากับผลักนางเข้ากองไฟ!แม้ทั้งสองจะไม่กล้าทำร้ายไป๋อวิ๋นเฟย แต่พวกเขาสามารถฆ่าไป๋ลั่วหลีได้!ต่อให้ทุกคนรู้ว่าพวกเขาคิดร้าย แต่เพียงแค่หาข้ออ้างมาสักข้อก็สามารถฆ่านางได้ในทันที!หวังหยวนจะปล่อยไป๋ลั่วหลีไว้ไม่ได้เด็ดขาด!ขณะที่เหล่าทหารกำลังจะลงมือ จู่ ๆ ก็มีดอกไม้ไฟบานสะพรั่งกลางอากาศ!เหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง ซือฟางหรี่ตาลง “ทิศทางนั้นคือ...”“ค่ายทหาร!”หวังหยวนเดินไปข้าง ๆ ซือฟาง และกระซิบว่า “ท่านคงรู้ว่าที่นั่นคือที่ใดกระมัง?”“นั่นคือสัญญาณจากคนของข้า พวกเขาบุกเข้าไปในค่ายเสบียงของท่านแล้ว! หากข้าไม่ออกจากวังหลวงภายในหนึ่งก้านธูป พวกเขาจะเผาเสบียงทั้งหมด!”“แม้ว่าท่านจะมีทหารหลายแสนนาย แต่ในราชวงศ์ต้าเย่ก็
“เจ้าจะทำอะไร?”เมื่อเห็นไป๋ลั่วหลีจะพุ่งตัวออกไป หวังหยวนจึงรีบคว้าข้อมือเขาไว้ แล้วเอ่ยปรามเสียงเบา“พวกท่านไม่สนใจก็ได้ แต่ข้าไม่อาจยอมให้องค์ชายถูกกักบริเวณเช่นนี้!”“แม้จะต้องตายในที่แห่งนี้ ข้าก็จะปกป้ององค์ชายให้ได้!”“และจะต้องกำจัดกบฏสองคนนี้ให้สิ้นซาก!”หวังหยวนกล่าวตักเตือน “เจ้าคิดว่าการทำเช่นนี้คือการเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีหรือ?”“ตั้งสติหน่อย! ยังมองสถานการณ์ไม่ออกอีกหรือ? ซือฟางและเจี๋ยงโฉ่วอีไม่ได้ต้องการเพียงแค่ให้ไป๋หมิงขึ้นครองราชย์เป็นหุ่นเชิดของพวกมัน”“พวกมันยังยุยงขุนนางให้กบฏด้วย บัดนี้พวกเราหมดหนทางแก้ไข! ต้องหาแผนการอื่นเพื่อความปลอดภัยของไป๋อวิ๋นเฟย!”“หากเจ้ากระทำการอย่างหุนหันพลันแล่นก็มีแต่จะเสียสละชีวิตโดยเปล่าประโยชน์!”“หากวันใดช่วยไป๋อวิ๋นเฟยออกมาได้ เขาจะเข้าใจเอง!”เมื่อหวังหยวนพูดเช่นนี้ ไป๋ลั่วหลีจึงระงับโทสะ แต่ยังคงจ้องมองซือฟางด้วยความเคียดแค้น“อะแฮ่ม”หวังหยวนกระแอมดึงดูดความสนใจของซือฟางและเจี๋ยงโฉ่วอี“ท่านทั้งสอง”“ในเมื่อเรื่องราวจบสิ้นแล้ว ข้าคงต้องขอตัว”“ยังมีธุระมากมายรออยู่ โอกาสหน้าค่อยพบกันใหม่!”หวังหยวนกล่าวอย่างใจ
ไป๋อวิ๋นเฟยตวาดลั่น ก่อนกระโจนเข้าใส่ซือฟางเป็นคนแรก เห็นได้ชัดว่าต้องการแย่งชิงพระราชโองการมาให้ได้!เพียงแค่ประกาศเนื้อความในโองการ ความจริงก็จะปรากฏ!“องค์ชาย!”“อย่าบีบบังคับกระหม่อม!”ไป๋อวิ๋นเฟยเป็นเพียงบัณฑิตผู้บอบบาง ไม่เคยผ่านสนามรบ จะสู้ซือฟางได้อย่างไร?ซือฟางไหวตัวทัน รีบเก็บพระราชโองการเข้าอกเสื้อ แล้วหลบไปด้านข้าง พยายามรักษาระยะห่างจากไป๋อวิ๋นเฟย!เหล่าทหารที่อยู่ข้างกายซือฟางก็เข้ามาล้อมไป๋อวิ๋นเฟยไว้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้เกรงกลัวองค์ชายแม้แต่น้อย!“ช่างน่าสนใจยิ่งนัก...”หวังหยวนที่ติดตามไป๋อวิ๋นเฟยมาหรี่ตาลงเล็กน้อยเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก พบเจอกบฏมากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนหยิ่งผยองอย่างซือฟาง!กล้าประกาศศึกกับองค์ชายอย่างโจ่งแจ้ง!ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำเช่นนี้ต่อหน้าพระศพของจักรพรรดินีด้วย!“เสด็จแม่ทรงโปรดปรานเจ้า! แต่เจ้ากลับคิดคดทรยศ ช่างทำให้เสด็จแม่ผิดหวังยิ่งนัก!”ไป๋อวิ๋นเฟยโกรธจนแทบกระอักเลือดองค์ชายผู้สูงศักดิ์กลับถูกบีบบังคับให้จนตรอก!เหล่าขุนนางที่อยู่ในห้องบรรทมต่างพากันเดินออกมายืนซุบซิบกันเป็นกลุ่มแต่ไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าช่
ช่างน่าเจ็บใจนัก คิดคำนวณมาอย่างดีกลับยังมีช่องโหว่!เจี๋ยงโฉ่วอีหรี่ตามอง เช่นเดียวกับที่หวังหยวนคาดการณ์ไว้ โองการระบุชัดเจนว่าไป๋อวิ๋นเฟยคือผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เหตุที่ทั้งสองคนก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้โองการนี้ตกถึงมือขุนนางทั้งหลาย!ด้วยวิธีนี้เท่านั้น ไป๋หมิงจึงจะขึ้นครองราชย์ได้อย่างถูกต้อง!น่าเสียดาย...พลาดท่าเสียแล้ว!แต่โชคยังดี ที่นี่ถูกพวกเขาควบคุมไว้หมดแล้ว ต่อให้หวังหยวนและพรรคพวกจะมีฝีมือเก่งกล้าเพียงใดก็คงไม่อาจต้านทานได้!“ใครก็ได้!”“จับกบฏพวกนี้ให้หมด!”เมื่อซือฟางออกคำสั่ง เหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาล้อมพวกหวังหยวนไว้!“พวกเจ้าจงเบิกตาดูให้ดี!”“ข้าคือไป๋อวิ๋นเฟย องค์ชายใหญ่!”“พวกเจ้าจะฟังคำสั่งซือฟางหรือว่าคิดจะทำร้ายข้ากันแน่?”ไป๋อวิ๋นเฟยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหล่าทหารมองหน้ากัน แม้จะลังเลใจ แต่ไม่ได้ถอยหนี!ยศถาบรรดาศักดิ์อยู่ในมือของซือฟาง!พวกเขาคือทหารของราชวงศ์ต้าเย่ แต่ต้องเชื่อฟังผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์ทางการทหารเท่านั้น!“จักรพรรดินีมีรับสั่ง!”ทันใดนั้น ซือฟางเดินออกมาข้างหน้า แล้วชูพระราชโองการขึ้น พร้อมกับชี้ไปยังไป๋อวิ๋นเฟยแ