ร้านอาหารริมทางที่มีเสียงดังและวุ่นวายและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของควันไฟ
เส้นผมหยักศกของเสิ่นหว่านฉือถูกหนีบด้วยกิ๊บหนีบผมเป็นผมดังโงะที่เรียบง่าย เมื่อเธอก้มหน้า เส้นผมที่กระจายอยู่ตามขมับก็ตกลงมาปกปิดใบหน้าด้านข้างของเธอ ผมสีดำของเธอช่วยขับผิวขาวของเธอให้ยิ่งสว่างขึ้น
เธอชี้ไปที่เมนู เอียงหัวแล้วพูดอะไรบางอย่างกับชายที่อยู่ข้าง ๆ เธอ
ชายคนนั้นพยักหน้า เสิ่นหว่านฉือก็หัวเราะและยื่นมือเรียกพนักงาน
กู้เฉินเย่เลิกคิ้วขึ้น “ดูเหมือนว่า ภรรยาที่หย่าร้างกับคุณไป ดูมีความสุขมากเลยนะ!”
ป๋อจิงโจวไม่พูดอะไร แล้วหันหลังเดินออกจากห้องส่วนตัว……
ที่ร้านอาหารริมทาง หลีไป๋ดื่มเบียร์หมดขวดอย่างไว แต่ก็ยังไม่น่าเชื่อ “คุณคือหวานหว่านจริง ๆ เหรอ? หวานหว่านคนที่ซ่อมแจกันหยวนชิงที่เสียหายมากๆใบนั้นได้สำเร็จ?”
เสิ่นหว่านฉือ “……”
ตลอดทางนั้นหลีไป๋ได้ถามคำถามนี้ไปหลายรอบ ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะตอบยังไงแล้ว
คุณสวีเตะเท้าเขาใต้โต๊ะ “ดื่มให้มันน้อย ๆ หน่อย หวานหว่านเธออย่าไปใส่ใจเขามากนะ”
เสิ่นหว่านฉือตอบรับอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ”
“อาหารมาแล้วครับ ระวังร้อนนะครับ!”
พนักงานเสิร์ฟตะโกนและนำหอยหลอดกระเทียมมาจานหนึ่ง ทันทีที่เสิ่นหว่านฉือหยิบตะเกียบขึ้นมานั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เธอวางตะเกียบลงแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า
ขณะที่นิ้วของเธอกำลังจะเลื่อนปุ่มรับสายนั้น เธอก็ตระหนักได้ว่าชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้นคือป๋อจิงโจว……
นิ้วของเสิ่นหว่านฉือหยุดชั่วคราว เธอไม่รับสาย แล้วเธอก็ตั้งปิดเสียงโทรศัพท์ของเธอและวางลงบนโต๊ะ
โทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้งแล้วก็เงียบไป
เสิ่นหว่านฉือไม่แปลกใจ ปกติป๋อจิงโจวเป็นคนใจร้อนอยู่แล้ว ที่ผ่านมาทุกครั้งที่เขาโทรมา เธอรับสายช้านิดหน่อย เขาก็จะวางสายทันที
แต่ว่าครั้งนี้ที่แปลกคือ หลังจากที่วางสายไปไม่นาน ก็มีข้อความวีแชทเด้งขึ้นมาที่หน้าจอโทรศัพท์ข้อความหนึ่ง
เธอเปิดมันขึ้นมาและตกใจในวินาทีต่อมา เป็นป๋อจิงโจวส่งมา มีเพียงแค่คำสั้น ๆ ง่ายๆ เพียงสองคำ ‘มานี่’
เสิ่นหว่านฉือขมวดคิ้ว เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว แล้วก็ไปหยุดที่รถเบนท์ลีย์สีดำตรงทางเข้าโรงแรมห้าดาวฝั่งตรงข้าม
รถของป๋อจิงโจวถูกสั่งทำพิเศษ เธอมองแค่แวบเดียวก็จำได้แล้ว
เสิ่นหว่านฉือกินต่อไปไม่ได้สนใจอะไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเธอเหม่อลอยเล็กน้อย
หลีไป๋เห็นว่าเสิ่นหว่านฉือแทบไม่ขยับตะเกียบเลย คิดว่าเธอน่าจะเขินอาย ก็เลยใช้ตะเกียบคีบกุ้งใส่ชามให้เธอ “เธอไม่ต้องเกร็งมาก คนที่จิงหยวนเป็นกันเองทั้งนั้น เธอทำเหมือนพวกเราเป็นเพื่อนเธอก็พอ ปกติถ้ามีเรื่องจะต้องขอลา คุณสวีเขาไม่ห้ามหรอก มีแต่อยากจะให้พวกเรารีบไป”
มันยากจริง ๆ ที่จะรักษาคนไว้ในสายอาชีพนี้ นับประสาอะไรกับการเลื่อนตำแหน่ง ทุกวันจะต้องเจอกับของที่เสียหายแบบนี้ทุกวัน หาแฟนยังหายากเลย ทำงานหนักมาทั้งวัน เวลาก็ไม่พอ
มีหนุ่มสาวน้อยคนที่จะทนกับความลำบากและความเหงานี้ได้ ดังนั้นคุณสวีจึงพยายามอย่างเต็มที่ในการเปิดธุรกิจขนาดเล็กและพยายามหาวิธีรักษาคนไว้ ระเบียบวินัยก็ค่อนข้างที่จะหละหลวม
เสิ่นหว่านฉือยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณนะคะ”
ขณะที่เธอกำลังจะก้มหัวลงกินกุ้ง ก็มีข้อความของป๋อจิงโจวมาอีก——
[คุณจะมานี่ หรือจะให้ผมเข้าไปหา?]
สามารถรู้สึกได้ผ่านหน้าจอ……ความโกรธและความไม่พอใจอันรุนแรงของเขาในขณะนี้
เสิ่นหว่านฉือรู้จักอารมณ์ของป๋อจิงโจวเป็นอย่างดี เธอกินกุ้งที่หลีไป๋คีบให้เธอหมดอย่างรวดเร็ว วางตะเกียบลงแล้วพูดขอโทษ “ขอโทษค่ะคุณสวี วันนี้ฉันมีเรื่องด่วนต้องไปจัดการ รถแท็กซี่ที่เรียกมาแล้วค่ะ คนขับตามไม่หยุดเลยค่ะ ฉันต้องไปก่อนนะคะ”
คุณสวีกลับคุยง่ายและพูดว่า “ไปเถอะ ไปเถอะ ฉันก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน แก่แล้วสู้พลังวัยหนุ่มสาวไม่ได้หรอก”
เสิ่นหว่านฉือขอโทษคนอื่น ๆ อีกครั้ง แล้วหยิบกระเป๋ารีบเดินไปทางรถเบนท์ลีย์คันนั้น
ประตูผู้โดยสารเปิดและปิด เสิ่นหว่านฉือเข้าไปนั่ง พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจว่า “รีบไปค่ะ”
อารมณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วของป๋อจิงโจวเพิ่มขึ้นทันที และความโกรธของเขาก็ค่อย ๆ ควบคุมไม่ได้ แทนที่เขาจะไป เขากลับเอื้อมมือไปคว้าคางของเธอ “ผมน่าอายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เสิ่นหว่านฉือถูกเขาบีบคางจนเจ็บ แต่ว่าต่อหน้าป๋อจิงโจวนั้น เธอจะไม่ยอมแพ้หรอก
ในช่วงสามปีที่ผ่านมาของการแต่งงาน เธอยอมเขามาทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่เคยรักและทนุถนอมเธอเลย มาถึงตอนนี้ก็อย่าคิดว่าเธอจะยอมเขา
“พวกเราก็จะหย่ากันแล้ว ฉันไม่อยากให้คนเข้าใจผิดว่าพัวพันกับสามีเก่า”
สีตาของเขาเข้มราวกับหมึก เขาจ้องไปที่ริมฝีปากสีชมพูของเสิ่นหว่านฉือแล้วใช้ปลายที่นิ้วหยาบกระด้างกดไปที่ริมฝีปาก “กุ้งอร่อยมั้ย?”
เสิ่นหว่านฉือเห็นสีหน้าของเขาก็เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขาทันที
เหอะ นิสัยแย่ ๆ ของพวกผู้ชาย
ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องการ แต่ก็ไม่อนุญาตให้ใครเอาไปเกี่ยวข้อง
แต่เธออยากให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้ถูกเขากดขี่
เสิ่นหว่านฉือเลิกคิ้วมองเขา “ก็ต้องอร่อยสิ……”
ยังไม่ทันพูดจบ ริมฝีปากป๋อจิงโจวก็กดลงมาปิดสิ่งที่เธอกำลังจะพูด
กลิ่นยาสูบผสมกับกลิ่นเหล้าจาง ๆ ลอยเข้าลมหายใจเธอเต็ม ๆ จูบของเขาร้อนแรงเหมือนกับตัวเขา โดยไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
เสิ่นหว่านฉือรู้สึกไม่ถึงเลยว่าแต่งงานมาตั้งนาน เขาแทบไม่ได้จูบเธอเลย การสูญเสียการควบคุมเป็นครั้งคราวนั้นยังอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ และเขาสามารถถอยออกไปและหยุดเมื่อใดก็ได้
แต่ว่าครั้งนี้……
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ความคิดของเธอล่องลอย มือของเขาก็ได้ล้วงเข้าไปที่ชายเสื้อของเธอ ฝ่ามือที่หยาบกร้านโอบรอบเอวของเธอและยังมีความตั้งใจเล็กน้อยที่จะล้วงลึกเข้าไปอีก
เสิ่นหว่านฉือมีภาพลวงตาในภวังค์ของเธอว่าถ้าเธอไม่หยุดพฤติกรรมต่อไปของเขาล่ะก็ ป๋อจิงโจวอาจจะมีอะไรกันกับเธอบนรถจริง ๆ
เธอหลับตาลง และทำเรื่องบางอย่างที่คาดไม่ถึง——
“ฟืด”
เขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้วปล่อยเธอ แต่ริมฝีปากของเขายังคงอยู่ใกล้มากราวกับว่าพวกเขากำลังจะจูบเธออีกครั้งในวินาทีถัดไป
ป๋อจิงโจวยื่นมือออกมาเช็ดริมฝีปาก มีคราบเลือดสีแดงอ่อนที่ปลายนิ้ว เขาเม้มริมฝีปาก แต่กลับดูเย็นชากว่าตอนที่เขาไม่ยิ้มซะอีก “เธอกัดฉันเหรอ?”
เสิ่นหว่านฉือเช็ดริมฝีปากของเธอด้วยแขนเสื้อของเธอสองสามครั้งอย่างรู้สึกรังเกียจ “ทำไมเหรอ เจี่ยนเวยหนิงไม่ทำให้คุณพอใจเหรอ? ปล่อยให้คุณทำตัวอย่างกับม้าที่ไล่กระโดดไปมาด้วยความใคร่?”
ใบหน้าของป๋อจิงโจวไม่เปลี่ยนไปเลย “เรายังไม่ได้หย่ากัน โดนตัวเธอสู้โดนตัวคุณไม่ได้หรอก ยังมีอะไรรับประกัน”
รับประกันสองคำนี้ เหมือนกับประชดประชันกันชัดๆ!
เสิ่นหว่านฉือหัวเราะด้วยความโกรธ เธออยากจะตบเขาเต็มที!
“ถ้าเธอรู้ว่าคุณแย่ขนาดนี้ เกรงว่าเธอจะทิ้งคุณไปอีกน่ะสิ?”
ทันทีที่เธอพูดจบก็มีเสียงดัง “ปัง ๆ ” ขึ้นมา มีคนเคาะที่กระจกรถ……
สองคนหันไปตามเสียง เห็นหลีไป๋ยืนอยู่นอกรถ ก้มลงดูว่ามีคนอยู่ในรถหรือไม่
รถถูกติดด้วยฟิล์มมืดนอกสว่างใน สามารถมองเห็นภายนอกจากภายในได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นภายในจากภายนอกได้
ป๋อจิงโจวไม่ได้ลดกระจกลง แต่มองหลีไป๋จากบนลงล่างด้วยสายตาที่พยายามจับผิด
จากนั้นเสียงของเขาก็เย็นชาและประชด “นี่คือคนใหม่ของคุณเหรอ?”
เสื้อผ้าที่หลีไป๋สวมใส่ไม่ได้หรูหรา แต่คุณภาพดีมาก นาฬิกาบนข้อมือของเขามีมูลค่ามากกว่าห้าหมื่นบาท แต่ในสายตาของป๋อจิงโจวที่ใช้เงินเป็นจำนวนมากมันยังไม่เพียงพอสำหรับมื้ออาหารของเขาด้วยซ้ำ
เสิ่นหว่านฉือไม่ได้ตอบอะไร ก็เห็นสายตาของป๋อจิงโจวจากที่มองหลีไป๋อยู่นั้นก็มองไปที่ร้านอาหารริมทางฝั่งตรงข้าม “อยากจะหย่ากับผมจะเป็นจะตายเพื่อผู้ชายที่พาคุณมากินข้าวที่แบบนี้น่ะเหรอ?”
คำพูดของเขาดูน่ารังเกียจและใจดำสิ้นดี “เสิ่นหว่านฉือ คุณทานอาหารชั้นเลิศมามากพอแล้ว เลยอยากลองทานโจ๊กและเครื่องเคียงแบบนี้เหรอ?”
เสิ่นหว่านฉือเห็นใบหน้าเย็นชาด้านข้างของเขา แต่ในใจกลับรู้สึกว่าความพยายามที่ได้ทำตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่คุ้มค่าเอาซะเลย
“ใช่น่ะสิ คุณป๋อทั้งหล่อทั้งรวย ซื้อของขวัญให้ทีก็หลักล้าน แต่ว่าภรรยาที่ยอมกินร้านอาหารข้างทางของคุณก็ยังต้องการจะหย่ากับคุณ คุณว่าเป็นเพราะอะไรล่ะ?”