คุณนายฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า "ต้องผ่าตัดล่วงหน้าเหรอ?""อืม"หลังจากนั้นคุณนายฉินก็หยุดพูดเสิ่นหยินอู้เฝ้าดูจากด้านข้าง เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "คุณย่าคะ แม้ว่าการผ่าตัดจะดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วกระบวนการนี้ไม่น่ากลัวขนาดนั้น ถึงตอนนั้นคุณย่าแค่ต้องนอนพักสักพักก็เท่านั้นเอง เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกว่าอาการป่วยหายดีแล้วค่ะ”ในตอนที่เธอพูด น้ำเสียงของเธอก็ค่อนข้างเร็วและขี้เล่นเล็กน้อยฉินเย่อดไม่ได้ที่จะมองเธอเธอไม่ได้ดูมีจิตใจที่ดีแบบนี้มานานแล้วอาจเป็นเพราะอารมณ์ของเธอที่แสดงออกมาทำให้คุณนายฉินสบายใจยิ่งขึ้น คุณนายฉินจึงหัวเราะอีกครั้ง "หนูนี่รู้วิธีที่ทำให้ฉันมีความสุขสินะ"“เปล่าเลยค่ะคุณย่า ทุกอย่างที่หนูพูดเป็นเรื่องจริง ถ้าคุณยายไม่เชื่อ พรุ่งนี้ลองไปถามคุณหมอดูได้เลยค่ะ” “โอเคจ้า โอเค ฉันรู้ว่าหนูเป็นห่วง ย่าไม่กลัวหรอก”เมื่อออกจากโรงพยาบาลก็เป็นเวลาแปดโมงแล้วเดิมทีเสิ่นหยินอู้ต้องการใช้เวลากับคุณยายมากกว่านี้ แต่คุณนายฉินต้องพักผ่อน ดังนั้นทั้งสองจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปเมื่อออกจากห้องผู้ป่วย ทั้งสองมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกและเบื่อ
คนขับรถ"......"เจ้านายของเขายังไม่ได้ขึ้นรถเลยคนขับมองไปที่ฉินเย่ซึ่งยืนอยู่นอกหน้าต่างรถด้วยสีหน้าเศร้าหมอง และถามด้วยเสียงเบาๆว่า "คุณผู้หญิงครับ คุณผู้ชายเขา... "“เขามีเรื่องต้องทำ ถ้าเขาไม่อยากขึ้นรถก็ไปกันเถอะ”คนขับไม่กล้าพูดต่อ แต่เขาก็ไม่กล้าขับรถออกไปเช่นกัน แม้ว่าฉินเย่จะเป็นเจ้านายของเขา แต่เขาก็เข้าใจว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังก็คือภรรยาของฉินเย่ คุณผู้ชายของเขามักจะพูดจาไพเราะนุ่มนวลและใจดีมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นเสิ่นหยินอู้ที่เป็นคนตัดสินใจในเรื่องต่างๆเขาไม่เคยล่วงเกินเธอวินาทีต่อมา จู่ๆประตูรถก็ถูกเปิดออกโดยไม่มีการบอกก่อนล่วงหน้า และฉินเย่ก็ย่อตัวลงและขึ้นมานั่งบ่นรถเสิ่นหยินอู้มองเขาฉินเย่ไขว้ขาแล้วมองคนขับรถตรงหน้าอย่างเย็นชา "ออกรถ"เสียงของเขาเย็นชาและเต็มไปด้วยความเยือกเย็น คนขับไม่กล้าจอดอีกต่อไป เขาขับรถออกไปอย่างเร่งรีบในรถเกิดบรรยากาศแปลกๆขึ้น เดิมทีเสิ่นหยินอู้คิดว่าเขาจะไม่ขึ้นรถอีกเพราะสิ่งที่เธอพูดไว้กับเขา แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเขา...แต่เธอกลับขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจ เพราะยังไงเขาก็เป็นคนพูดเอง ถ้าจะตบหน้า ก็เท่ากับว่าเขาตบหน้าตัวเองเป็นเขาเอง
ใช่แล้ว ข้อมูลที่เธอได้รับเปลี่ยนไปจริงๆ นี่แสดงให้เห็นว่าลางสังหรณ์ของเธอนั้นถูกต้องเฉินหยินอู้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หยิบข้อมูลกลับมา แล้วก็พับเก็บไปหลังจากเก็บเสร็จแล้ว เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และพูดกับฉินเย่ "ที่จริงแล้ว ฉันรู้สึกว่าคุณย่ากลัวการผ่าตัด ช่วงบ่ายเมื่อกี้ คุณไม่ควรบอกคุณย่าว่าจะต้องผ่าตัดล่วงหน้าเลย"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็สะดุ้ง"งั้นหรอ?""อืม"เขามองเธอ และเห็นสีหน้าที่จริงจังของเธอ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่เธอพูดในโรงพยายบาลก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องซี้ซั้วเธอบอกว่าที่เธอเป็นห่วงคุณย่าของเขานั้นไม่ใช่เพราะตัวเขาประโยคนี้ไม่ได้พูดด้วยความโกรธและน้อยใจเธอถือคุณย่าของเขาเป็นคุณย่าของเธอจริงๆเมื่อคิดเช่นนั่น ฉินเย่ก็เปิดริมฝีปากของเขาออก แล้วพูดว่า "อืม ผมเข้าใจแล้ว ผมจะปลอบคุณย่าทีหลัง"เนื่องจากปัญหาของคุณย่าถูกหยิบยกขึ้นมา ความสงบสุขระหว่างทั้งสองก็เกิดขึ้นเล็กน้อยแต่หลังจากหัวข้อเกี่ยวข้องกับคุณย่าจบลง ทั้งสองก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งคนขับที่ขับอยู่ข้างหน้ารู้สึกประหลาดใจอย่างมากตอนที่ขึ้นรถมา บรรยากาศตึงเครียดมากขนาดนั้นแท้
แต่เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง ฉูฉู่ก็คือคนที่เขาชอบ และเขาก็จริงใจกับเธอมากตอนนี้เสิ่นหยินอู้เข้าใจแล้ว แต่จากมุมมองของเธอเอง เธอก็ยังคงไม่เห็นด้วยแต่ไม่มีวิธีที่จะตกลงกัน ยังไงช่วงนี้ก็คงยังต้องแกล้งทำเป็นปกติไปก่อนเสิ่นหยินอู้ออกมาหลังจากอาบน้ำ แล้วก็เห็นฉินเย่นอนอยู่บนโซฟาในห้องนอนเขาอาจจะเหนื่อยจึงถอดเสื้อคลุมออกแล้วนอนหลับตาอยู่ตรงนั้นเมื่อได้ยินเสียง เขาก็ลืมตาขึ้นและมองไปทางเสิ่นหยินอู้เสิ่นหยินอู้มองไปที่เขา แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าหยินอู้กำลังจ้องมองเขาอยู่ ดวงตาของพวกเขาจึงสบกันโดยไม่คาดคิด และเธอก็มองออกไปทางอื่นด้วยความประหม่าในทันทีฉินเย่ไม่สนใจ และถามด้วยน้ำเสียงที่สบายๆว่า"อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ?"จากนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ตอบกลับอย่างทื่อๆว่า"อืม"“งั้นผมไปอาบน้ำนะ”หลังจากพูดเช่นนั้น ฉินเย่ก็ลุกขึ้นและเข้าไปในห้องน้ำเมื่อเขาออกมาอีกครั้ง มันก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมงฉินเย่เช็ดผมที่เปียกชื้นด้วยผ้าแห้งแล้วเดินออกมา ทันใดนั้น เขาก็หยุดและมองไปที่เสิ่นหยินอู้ซึ่งนอนหลับอยู่ข้างเตียงมีหมอนอยู่ข้างหลังเธอและมีหนังสืออยู่ในมือ โคมไฟเปิดอยู่ และเธอก็ฟุบไปอย่างเงียบๆโดย
"อืม สงบศึก"เสิ่นหยินอู้พยักหน้าเบาๆ "เรากลับมาทำตัวเหมือนแต่ก่อนกันเถอะ โอเคไหม?"เหมือนแต่ก่อน?ฉินเย่ดีใจกับคำพูดของเธอ และเขาก็พูดติดอ่างเล็กน้อย“คะ คุณหมายความว่า...”เสิ่นหยินอู้เหลือบมองเขา จากนั้นลดสายตาลงและพูดอย่างจริงจัง "ฉันคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังระหว่างทางกลับมา อารมณ์ของคุณย่าดูเหมือนจะมั่นคงมากแล้ว และการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหา แต่ท้ายที่สุดแล้ว การผ่าตัดจะดำเนินการในอีกครึ่งเดือนต่อจากนี้ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องเถียงกันในเวลานี้ ฉันกลัวว่าคุณย่าจะสังเกตเห็นและจะส่งผลต่อเธอ”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็รู้สึกเหมือนเขาได้เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา“คุณหมายถึง……”“คุณไม่เข้าใจที่ฉันหมายถึงเหรอ? ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ดังนั้นเราต้องร่วมมือกัน หลังจากครึ่งเดือนนี้ คุณอยากจะทำอะไรก็ได้ แล้วแต่ที่คุณต้องการ ไม่มีใคร หรืออะไรสามารถรั้งคุณได้ "เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นมันชัดเจนมาก“คุณเป็นคนฉลาดและคุณควรจะเข้าใจสิ่งในที่ฉันพูด”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็กระตุกมุมปากของเขา ใช่ เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?กล่าวอีกนัยห
หลังจากลุกขึ้น เสิ่นหยินอู้ก็อาบน้ำตามปกติ และเมื่อเธอเห็นฉินเย่กำลังแต่งตัว เธอก็เข้ามาผูกเน็คไทให้เขาใต้ตาของฉินเย่มีรอยคล้ำอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคืนนี้คนข้างๆเขานั้นหลับสบาย แต่ตัวเขาเองกลับนอนไม่หลับทั้งคืนจนกระทั่งฟ้าสว่าง เขาถึงจะรู้สึกง่วงเล็กน้อยหลังจากนอนหลับได้สักพัก เขาก็ได้ยินเสียงลุกของคนข้างๆฉินเย่ยังนอนหลับไม่สนิท ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นเพราะอาการนอนไม่หลับ บวกกับปฏิกิริยาของเธอทำให้เขาไม่มีความสุข และเขาไม่มีที่ที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาได้ ฉินเย่จึงแสดงท่าทีที่หยาบคายเล็กน้อยเมื่อเขาผูกเนคไท และยิ่งหมดความอดทนมากขึ้นเขาไม่คิดว่าเธอจะมาผูกเน็คไทให้เขาในเวลานี้"ฉันผูกให้"เธอพูดเบา ๆหลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ลดสายตาลงและจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตาเสิ่นหยินอู้จงใจหลีกเลี่ยงสายตาที่จ้องเขม็งของเขา และพูดเบาๆ "คุณก้มลงหน่อย ไม่งั้นฉันจะผูกไม่ถึง"ฉินเย่เม้มมุมปากของเขา เขาไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขากลับไม่ก้มลงไปเสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะจ้องไปที่เขาฉินเย่เม้มริมฝีปาก "ในที่สุดก็กล้าสบตาผมแล้วหรอ?"เสิ่นหยินอู้ "..."เกิดอะไรขึ้นกับเขาอีก? เมื่อคืนเรายังค
ในวันนั้น ฉินเย่สามารถพูดได้เลยว่า มันเป็นการทานอาหารเช้าด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคืองมากเนื่องจากเขาหันหลังให้กับพวกคนรับใช้ พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้ พวกเขาเห็นเพียงแค่คนสองคนที่พูดคุยกันอย่างใกล้ชิดจากด้านหลัง จึงคิดว่าพวกเขากลับมาคืนดีกันอีกครั้งแล้วเนื่องจากช่วงนี้เสิ่นหยินอู้มีวันลาพักร้อนประจำปี เธอจึงไม่ได้ไปที่บริษัทและไปโรงพยาบาลทุกวันเพื่อติดตามอาการของคุณนายฉินเป็นเวลาหลายวันแล้วที่คุณนายฉินมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเสิ่นหยินอู้นั้นมีอารมณ์ที่สงบมากในช่วงนี้สิ่งต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นไปตามที่เธอคิดไว้ ครึ่งเดือนนี้ เวลาสามสี่วันก็ผ่านไปได้อย่างรวดเร็วบางครั้งเมื่อเธออยู่คนเดียวเงียบๆ เธอก็จะลูบท้องของเธอเบาๆทัศนคติของเธอก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆเมื่อเธอรู้ว่าเธอท้องเป็นครั้งแรก เธอยังคงสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับลูกของเธอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกได้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเด็กในท้องของเธอเป็นหนึ่งเดียวและมีหัวใจดวงเดียวกันกับเธอ และเธอก็ทุ่มเทให้กับเด็กในท้อง และก็รู้สึกรักมากขึ้นเรื่อยๆแม้แต่ในกรณีที่ เธอมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดก
เสิ่นหยินอู้ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอแค่กระตุกมุมปากแล้วพูด "ไม่หละ ขอบคุณ" การปฏิเสธของเธอทำให้ชายคนนั้นตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเจียงฉูฉู่ก็พูดว่า "โจวจ้ง ขอนมร้อนให้เธอสักแก้วก็พอ" ชายที่ชื่อโจวจ้งพยักหน้าตอบ"โอเค ฉันจะไปทำ พวกเธอคุยกันไปเถอะ" ก่อนที่เขาจะเดินออกไป โจวจ้งอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเสิ่นหยินอู้อีกครั้งเจียงฉูฉู่เห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นในสายตาของเธอทั้งหมด หลังจากที่โจวจ้งเดินออกไป เธอก็ยิ้มให้เสิ่นหยินอู้ และพูดว่า "เธอมาแล้ว งั้นก็นั่งลงเถอะ"เสิ่นหยินอู้เหลือบมองเธอแล้วนั่งลงตรงหน้าของเจียงฉูฉู่เจียงฉูฉู่มองดูชุดที่เธอสวมอยู่ และพูดเบา ๆ ขณะที่มองดูนั้นว่า "โจวจ้งเป็นเพื่อนที่ฉันเจอที่ต่างประเทศ เขาเป็นคนใจกว้าง หลังจากที่เขากลับมาที่จีน เขาก็เปิดร้านกาแฟแห่งนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความทะเยอทะยานที่สูงมากก็ตาม แต่เขาก็ใช้ชีวิตแบบสบายๆ อีกอย่าง เขาจริงจังกับความสัมพันธ์และอ่อนโยนกับแฟนสาวมาก”เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจียงฉูฉู่ก็หยุดไปชั่วคราวและเอ่ยปากออกมาอย่างรอบคอบ "ถ้าเธอหย่ากับเย่แล้วเธอไม่มีที่จะไป ก็พิจารณาเขาได้นะ" -จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นมาแล
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ