หร่วนฝูอวี้อ้อมมาข้างหน้ารุ่ยอ๋อง สายตาเต็มไปด้วยความสนใจ“ข้าเดาว่า ตอนนี้เจ้าจะต้องแปลกใจอย่างมาก ว่าข้ารู้ได้อย่างไร“ความจริงนั้น ง่ายมาก“ผู้ชายที่ไม่ชอบข้า หากไม่ใช่มีคนรักแล้ว ก็เป็นคนที่ไม่ชอบผู้หญิง! ส่วนท่าน ก็คืออย่างหลัง”รุ่ยอ๋อง: นางช่างมั่นใจในตนเองหร่วนฝูอวี้พูดอีก“ท่านคงกำลังคิดว่า ทำไมข้าถึงได้มั่นใจในตนเองขนาดนี้“ฮ่าๆ ผู้หญิงที่งดงามอย่างข้า...”รุ่ยอ๋องแลดูอ่อนโยนราวกับหยก พูดขึ้นมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย“แม่นางหยวน เจ้าเดินไปข้างหน้า เลี้ยวขวาที่ตรงทางแยกที่สอง เจ้าจะเห็นร้านเกี๊ยวร้านหนึ่ง ทางด้านทิศตะวันออก ด้านหน้าห้องที่สอง เจ้าเดินเข้าไป หมอที่นั่นจะตรวจอาการของเจ้าให้เป็นอย่างดี”หร่วนฝูอวี้: ! !เขากำลังด่าว่านางป่วย?……ในรถม้าเฟิ่งจิ่วเหยียนงีบหลับครู่หนึ่งหลายวันมานี้นางยุ่งกับการตามจับโจรสลัด อดหลับอดนอนรอเมื่อนางตื่นขึ้นมา พบว่าทิศทางไม่ถูกต้องนางรีบเปิดม่านหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก“นี่ไม่ใช่ทางไปโรงพักแรม”นางหันมามองเซียวอวี้ที่อยู่ด้านข้างเซียวอวี้เอื้อมมือโอบเอวของนางไว้ ในความมืดมิด แววตาเต็มไปด้วยความเ
ได้ยินประโยคหลังของเซียวอวี้ ท่าทีเฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อยลองเขา?เฟิ่งจิ่วเหยียนหันตัวไป ถามทั้งที่รู้“ลองอย่างไร? ”เซียวอวี้จับมือของนางไว้ ลูบจากหน้าอกของเขาเลื่อนไปถึงท้องน้อย ในเวลาเดียวกันสายตาก็จับจ้องนาง ดูการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนหายใจกระสับกระส่าย ดวงตาหรี่ลง มองเห็นอารมณ์ในสายตาของนางไม่ชัดเจนเซียวอวี้ขยับเข้ามาใกล้ข้างหูของนาง ยิ้มหัวเราะด้วยเสียงแหบเบา ๆ“ล้อเจ้าเล่น”นางมักจะสุขุมเย็นชา อยากเห็นท่าทีเอียงอายของนางนั้น ยากมากจริง ๆพูดเสร็จ เขาก็ปล่อยมือของนาง แล้วก็พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง“เราอยากเก็บไว้ในคืนวันแต่งงาน”ก่อนวันแต่งงาน เขาต้องอดกลั้นไว้ยามที่เขากำลังถอยออก เฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวเข้ามาหา คว้าจับคอเสื้อของเขา แววตาเต็มไปด้วยความก้าวร้าว ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบ“หากข้าจะเอาล่ะ ? ”เซียวอวี้ก้าวถอยหลังหลังหนึ่งก้าว ใบหน้าสับสนเล็กน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ“จิ่วเหยียน เจ้าสงบหน่อย”เขาก็อยากพลอดรักกับนาง ทว่าก็อยากได้งานแต่งงานที่ครบสมบูรณ์เฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่ชัดเจ
หร่านชิวตายไปแล้ว พรรคเทียนหลง สำนักจินเหลียนล้มล้างอย่างสิ้นเชิง หยางเหลียนซั่วเป็นมนุษย์หมูได้ไม่กี่วัน ก็เสียชีวิตใต้ก้อนหินที่ถูกคนขว้างปานับจากนั้น ยุทธภพไม่มีพรรคเทียนหลงอีก ทายาทราชวงศ์แคว้นเฉินขาดสิ้นวันเกิดวันที่สองของเซียวอวี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนพาคนมาถึงป่าทุรกันดาร ตามหาหลุมฝังศพของฮ่องเต้ไท่จงแคว้นเฉินเพื่องานนี้ นางนำตัวโจรปล้นสุสานหลายคนออกมาจากคุกหลวงคนชำนาญทำงานเฉพาะทางโจรปล้นสุสานพวกนี้ใช้ความเชี่ยวชาญที่มี เพียงไม่กี่วัน สามารถกำหนดตำแหน่งหลุมศพได้โดยประมาณจากการขุดอยู่อย่างต่อเนื่อง มีโลงศพปรากฏขึ้นมาที่แปลกก็คือ โลงศพนี้วางเป็นแนวตั้งโจรปล้นสุสานพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ฝังศพแนวตั้ง คนในโลงศพมีสถานะสูงส่ง! ใช่! จะต้องเป็นโลงศพของฮ่องเต้ไท่จงแคว้นเฉินแน่ ! ”องครักษ์คนหนึ่งพบว่าดินร่วน “มีเหตุผิดปกติ ! ”หลังจากขุดดินร่วน ปรากฏประตูเตี้ยบานหนึ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนมองประตูเตี้ยนั้น แล้วก็รีบสั่งให้คนย้ายโลงศพออกมา เพื่อหาสถานที่ฝังใหม่อีกครั้งจากนั้นก็สั่งคนงัดประตูเตี้ยนั้นออก ดูว่าข้างหลังประตูมีอะไรไม่นาน ประตูถูกงัดเปิดออกเห็นเพียงข้างในเป็นรูแคบ
เซียวอวี้รู้สึกมุทะลุน่าขันถึงว่านาง “สูญหาย” ไปหลายวัน ยังทำให้ตนเองกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ที่แท้ก็ไปขุดหลุมฝังศพบรรพบุรุษของคนอื่น !เขาเดินมาตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน ยกมือเช็ดฝุ่นบนใบหน้าให้นางด้วยตนเอง“เรื่องอันตรายเช่นนี้ ทำไมเจ้าจะต้องไปทำด้วยตนเอง ?“เจ้ารออภิเษกอยู่อย่างสงบ ไม่ได้หรือ ? ”ตอนนี้ก็เหลือเพียงชุดแต่งงานยังปักไม่เสร็จ ไม่อย่างนั้นเขาสู่ขอนางเข้าวังมาตั้งแต่แรกแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกวี่วันทว่าครั้งนี้ถือว่าเข้าใจหัวอก ความรู้สึกของสองสามีภรรยาตระกูลเมิ่งในตอนนั้นตอนที่นางยังเป็นเด็ก ก็คง “อยู่ไม่เป็นสุข” เช่นนี้ วันทั้งวันวิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง“หลุมฝังศพมีกลไกมาก ข้าก็อยากไปเรียนรู้”มองท่าทีแสวงหาความรู้ด้วยความตั้งใจจริงของนาง ในใจเซียวอวี้อ่อนไหวทันที ประคองใบหน้าของนางไว้ พร้อมจูบบนริมฝีปากของนางสองทีชื่นชอบนางอย่างมากจริง ๆ จนไม่รู้จะพรรณนายังไงเฟิ่งจิ่วเหยียนถูกเขาจูบอย่างแรงจนเซถอยหลัง “พูดเรื่องจริงจัง สิ่งของที่ถูกฝังกับศพ ไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด...”เซียวอวี้ใช้มือข้างหนึ่งจับท้ายทอยของนางไว้
เฟิ่งจิ่วเหยียนลองกระบี่ แววตาคมกล้าเผยความแข็งแกร่งออกมาพอกระบี่ล้ำค่าอยู่ในมือ นางก็รู้สึกอยากฟันอะไรซักอย่าง เปิดคมกระบี่เสียหน่อย เซียวอวี้ที่เห็นนางชอบกระบี่ชื่อหยวนมาก รอยยิ้มในแววตาก็ยิ่งเผยความอ่อนโยนทว่าผ่านไปไม่นานก็รู้สึกว่าผิดปกตินางเอาใจใส่กระบี่มากกว่าเอาใจใส่เขาโดยเฉพาะแววตาที่นางมองกระบี่ ดูลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าเวลามองเขาเสียอีก!“เราไปดูฎีกาด้านนอกก่อน”ยามที่เซียวอวี้พูดประโยคนี้ ก็หวังว่านางจะมองตนทว่าสุดท้ายนางก็ยังจับกระบี่นั่นไปมา ไม่หันมามองไม่ส่งเสียงตอบรับ ไม่พูดอะไรซักคำเซียวอวี้: กระบี่นั่นมีดีขนาดนั้นเลยรึ?เซียวอวี้กักเก็บความเคืองโกรธเอาไว้แล้วก้าวยาว ๆ ออกไปด้านนอก อ่านฎีกาต่อเมื่อเห็นใบรายการสิ่งของที่ฝังลงหลุมศพของฮ่องเต้ไท่จงแคว้นเฉิน ความโกรธของเขาก็หายไปจนหมดแต่งกับภรรยาเช่นนี้ได้ ผู้เป็นสามีจะยังต้องการอะไรอีกเล่าเป็นเขาเองที่ใจแคบ เซียวอวี้ปลอบตนเองเรียบร้อย......นอกวังหลวงณ ตำหนักรุ่ยอ๋องช่วงนี้รุ่ยอ๋องถูกหร่วนฝูอวี้รัดตัวเอาไว้หมายถึงถูกรัดเอาไว้จริง ๆบนแขนของเขามีงูตัวหนึ่งพันอยู่ องครักษ์นาม หลิวหวา เป็นบุรุษร่า
“โกหก” เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนฟังเซียวอวี้พูดเรื่องของรุ่ยอ๋องจบ ก็วิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ปริมาณสุราที่หร่วนฝูอวี้รับได้นั้น นางรู้ชัดอย่างยิ่ง ไม่มีทางดื่มจนเมาได้เว้นเสียแต่ว่าหร่วนฝูอวี้จะยินยอมแต่แสร้งทำเป็นเมาทว่าหร่วนฝูอวี้ชอบสตรี ดังนั้นนางไม่มีทางมีอะไรกับรุ่ยอ๋องเซียวอวี้เองก็เดาได้เช่นกัน เหตุใดหร่วนฝูอวี้ต้องทำเช่นนี้ด้วยนอกเสียจากจะอยากอยู่ในเมืองหลวงต่อ เพื่ออยู่ข้างกายจิ่วเหยียนสิ่งที่เขาไม่แน่ใจคือทัศนคติของรุ่ยอ๋องหากรุ่ยอ๋องชอบหร่วนฝูอวี้เข้า นับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากแล้วจริง ๆเขายังไม่ทันไตร่ตรองอย่างละเอียด เฟิ่งจิ่วเหยียนก็พูดขึ้นว่า“ฝ่าบาท ข้าจะไปชายแดนเหนือซักรอบ ออกเดินทางพรุ่งนี้”เซียวอวี้ได้สติทันที จากนั้นเขาก็กุมมือของนาง“ใกล้จะถึงพิธีสมรสแล้ว ไปชายแดนเหนือทำไมกัน?”เขาถูกทอดทิ้งหลายครั้งเกินไป จึงรู้ไม่สบายใจแววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนนิ่งเฉย นางตอบอย่างจริงจังว่า “เวยเฉียงจะแต่งงานแล้ว”เดิมทีกำหนดวันแต่งงานของเวยเฉียงคือสิ้นเดือนสิบเอ็ดของปีที่แล้วด้วยเหตุที่เกิดเหตุร้ายขึ้นกับนางบนภูเขาเทียนฉือ งานแต่งจึงเลื่อนออกไปเซียวอวี้เริ่มคำนวณวั
ต้วนเจิ้งที่มีท่าทางอ่อนแอ ทว่ายังมีแรงจะด่าคน“ไสหัวไป...ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาปรนนิบัติ! อย่ามาจับข้า...ไปไกล ๆ !”สาวใช้ผู้นั้นใจเย็นมาก ไม่ว่าเขาจะด่านางอย่างไร นางก็ยังป้อนยาให้เขาอย่างอดทนพอต้วนเจิ้งเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียน เขาก็เก็บอารมณ์ที่ระเบิดออกมาอยู่ทันที คล้ายกับได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจถึงที่สุด ราวกับเมื่อครู่เขาไม่ใช่คนที่ด่าผู้อื่น แต่เป็นเขาที่ถูกด่า“ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว...”เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้าไปใกล้ มองขาทั้งสองข้างของเขาที่ถูกมัดไว้กับแผ่นไม้ดวงตาของต้วนเจิ้งแดงขึ้น ราวกับมีความทุกข์ใจที่ยากจะพูดออกมา“เป็นหร่านชิว นางมัดข้าเอาไว้ นางอยากได้เถ้ากระดูกของพี่ข้า“ข้าไม่ยอมบอกนาง“นางดูดพลังภายในของข้าจนแห้ง...ใช่ เจ้าคงจะยังไม่รู้! นางฝึกเคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถี!”“กว่าข้าจะหนีออกมาได้ไม่ง่ายเลย ข้าตกลงมาจนขาหัก ทั้งหมดนี่เป็นนางที่ทำร้ายข้า!“เฟิ่งจิ่วเหยียน ท่านจะต้องช่วยข้าฆ่านาง!“คนผู้นี้ช่างน่าแค้นนัก!”หลังจากที่ต้วนเจิ้งถูกช่วยออกมา ก็ฝากคนให้ช่วยพาเขามาส่งที่จวนแม่ทัพชายแดนเหนือด้วยความช่วยเหลือของแม่ทัพเมิ่ง เขาจึงถูกส่งมารักษาที่เซียวเ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าจริงจัง “อาจารย์ อาจารย์หญิง พวกท่านปิดบังอะไรข้ากันแน่”ฮูหยินเมิ่งมองนางอย่างลึกซึ้งจิ่วเหยียนถึงกับยอมตัดสัมพันธ์กับตน ก็จะไล่สืบเรื่องมนุษย์โอสถให้ได้ นางไร้กำลังที่จะทำอะไรแล้วจริง ๆจากนั้น นางก็เปิดปากพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดและเศร้าโศก“ตอนนั้นสิงโจวเองก็รู้ถึงเรื่องมนุษย์โอสถ จึงแอบปกปิดตัวตนเข้าไปตรวจสอบ เขาเคยเขียนจดหมายให้พวกเรา บอกว่าพบแหล่งซ่องสุมของมนุษย์โอสถพวกนั้นแล้ว จะตามไปสืบต่อ หลังจากนั้น...”“ศิษย์พี่ถูกพวกเขาฆ่าตายหรือ?” เสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนดังขึ้นทันทีหลายปีมานี้ นางกลัวว่าจะทำให้อาจารย์และอาจารย์หญิงเศร้าใจ จึงไม่เคยตามเรื่องการตายของศิษย์พี่อย่างละเอียดมาโดยตลอดศิษย์พี่ผู้นั้นที่ดีกับนางมากที่สุด นางนึกว่าเขาไปช่วยเหลือคนอื่นแล้วเกิดอุบัติเหตุจนสิ้นชีพอย่างที่อาจารย์บอกในยามปกติฮูหยินเมิ่งทั้งใจเย็นและเข้มแข็งทว่ายามนี้เมื่อนึกถึงเรื่องของบุตรชาย นางสะอึกสะอื้นจนพูดต่อไม่ไหว จากนั้นก็ลุกแล้วเดินจากไปใบหน้าที่แข็งทื่อของแม่ทัพเมิ่ง เล่าเรื่องที่เหลือออกมา“อาจารย์หญิงของเจ้าตรวจศพด้วยตนเอง สิงโจวถูกตีจนหัวเข่
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเซียวอวี้ตื่นขึ้นมา ก็ไม่เห็นเงาของเฟิ่งจิ่วเหยียนแล้วคงจะตื่นเช้าไปฝึกยุทธ์อีกเป็นแน่เซียวอวี้เปลี่ยนอาภรณ์ด้วยตนเอง มิได้ให้ผู้ใดมารับใช้หลิวซื่อเหลียงยกอ่างน้ำร้อนเข้ามา “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงเสด็จไปที่คุกเทียนเหลาตั้งแต่เช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้ขมวดคิ้วมุ่นนางไปคุกเทียนเหลาด้วยเหตุใด?ณ คุกเทียนเหลาระหว่างเฟิ่งจิ่วเหยียนกับถานไถเหยี่ยน มีเพียงประตูคุกคั่นอยู่หนึ่งบานถานไถเหยี่ยนนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างกำแพง บนกำแพงที่อยู่ด้านหลังยังสลักภาพ “ใยแมงมุม” ไว้ ภายใต้แสงเงา ยิ่งขับเน้นให้เขาดูเยือกเย็นเป็นพิเศษ“ฮองเฮาเสด็จมาเอง คิดว่าคงมิได้มาเพื่อพูดคุยความหลังกับข้ากระมัง”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูดุดัน“แคว้นตงซานส่งราชทูตมาที่หนานฉี ก็เพื่อช่วยเหลือเจ้า”สีหน้าของถานไถเหยี่ยนดูเป็นปกติ“จะช่วยข้า หรือจะสังหารข้า ก็ไม่ต่างกัน”ดูเหมือนเขาจะถอดใจแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนถามขึ้นในทันที “อาจารย์เต็มใจจะอยู่ที่หนานฉีหรือไม่”ถานไถเหยี่ยนรู้สึกประหลาดใจ หลังจากตะลึงงันอยู่ชั่วขณะ ก็เงยหน้าขึ้นมองนางเห็นนางมีสีหน้าจริงจัง ไม่เหมือนพูดหยอกล้อ“ฮองเฮา ทรงมิอ
ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังต่อเซียวอวี้ นางจึงบอกตามความจริง“ก็แค่จดหมายเพคะ”เซียวอวี้เลือกหยิบจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับ เห็นบนนั้นเขียนว่า---[อาเหยียนที่รัก]สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นฝืนข่มความรู้สึกไม่พอใจนั้นไว้ และหันมายิ้มให้เฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมถามว่า“นี่ต้วนไหวซวี่เป็นคนเขียนทั้งหมดหรือ?”หว่านชิวยืนอยู่ด้านข้าง เหมือนจะรับรู้บางอย่าง ทว่าก็ยังไม่แน่ชัด และยังไม่เข้าใจหลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองที่เซียวอวี้ ก็หันไปพูดกับหว่านชิว “เจ้าออกไปก่อน”“เพคะ ฮองเฮา”ในตำหนักชั้นในไม่มีผู้อื่น เหลือเพียงฮ่องเต้กับฮองเฮาสองคนเท่านั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนหยิบจดหมายฉบับนั้นมาจากมือเซียวอวี้ และเอ่ยอย่างจริงจัง“เรื่องในอดีต ฝ่าบาทจักสนพระทัยไปไยเพคะ”เซียวอวี้กลับคว้าข้อมือของนางไว้ “เราอยากอ่าน”เขาดูท่าทางจริงจังอย่างมาก “เราอยากรู้ว่า ในจดหมายของเขา เขียนอะไรบ้าง และยิ่งอยากรู้ว่า เจ้าตอบเขาว่าอย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย“ฝ่าบาท...”เซียวอวี้เอ่ยแทรกคำพูดของนาง มองนางด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ พร้อมกับย้อนถาม“ม
หลายวันก่อนเหล่าราชทูตก็ทยอยกันมาถึงแล้ว กำลังรอให้ฮ่องเต้ฉีเรียกเข้าเฝ้า เพื่อเจรจาเรื่องชดเชยการสงบศึกพวกเขามิอาจรบได้อีก และมิอาจเดิมพันได้ไหวหากหนานฉีโจมตีแว่นแคว้นของพวกเขาจริง ๆ จักต้องล่มสลายเป็นแน่ไม่เพียงแต่แคว้นเล็ก ๆ ที่ผู้คนรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย แคว้นใหญ่อย่างต้าเซี่ยก็เช่นเดียวกันราชทูตต้าเซี่ยต้องการจะเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่ เพราะหวังว่าองค์หญิงใหญ่จะออกหน้า ประสานความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นทว่า แม้แต่ประตูจวนองค์หญิงใหญ่พวกเขาก็ยังมิอาจเข้าไปได้เหล่าราชทูตอยู่รวมกัน ต่างมองหน้ากัน และถอนหายใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย“เฮ้อ!”“ทุกท่าน พวกท่านจะยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของหนานฉี ยอมยกดินแดนตามที่พวกเขาต้องการจริงหรือ?”“แล้วจะอย่างไร? พวกเรายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”“พวกเรามิใช่เป่ยเยี่ยน ไม่มีกองกำลังมากพอที่จะต่อสู้กับหนานฉีได้ การสงบศึกถึงจะรับประกันความสงบสุขได้”เหล่าราชทูตสีหน้าซีดเผือด ราวกับแบกภูเขาลูกใหญ่ หายใจแทบไม่ออกหากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นคงจะไม่เข้าร่วมกับการสู้รบครั้งนี้......จันทราลอยอยู่บนกิ่งไม้ ม่านราตรีมาเยือนงานเลี
เฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตว่า หลังจากเซียวอวี้ได้พบกับอาจารย์ศิษย์ทั้งสองคน หลายวันต่อมาหลังจากนั้นดูเหมือนในใจมีเรื่องครุ่นคิด คิ้วขมวดปมไม่คลาย คิดดูแล้วอาจจะวิตกกังวลเรื่องของมนุษย์โอสถขณะที่นางขี่ม้าอยู่ด้านหน้าเพื่อเปิดทาง จะรู้สึกอยู่เสมอว่ามีสายตาหนึ่งกำลังจ้องมองนางเมื่อหันกลับมา ก็มองเห็นเพียงเซียวอวี้ ใบหน้าเขาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาดำคล้ำคู่นั้นลึกล้ำยากจะหยั่งถึง มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ต้นเดือนเจ็ดกองทัพใหญ่ได้รับชัยชนะ และกลับมาถึงเมืองหลวงผู้คนในเมืองหลวงพากันออกจากบ้านเรือน มายืนอยู่ริมถนนสายหลักเพื่อต้อนรับกองทัพใหญ่ชาวบ้านต่างเปล่งเสียงด้วยความยินดี“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”“ฮองเฮาทรงเกรียงไกร!”เด็กตัวเล็ก ๆ ก็ถูกพ่อแม่จับยกขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อมองดูฉากเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ผู้คนพากันพูดปากต่อปาก“ว่ากันว่าฝ่าบาททรงนำทัพด้วยพระองค์เอง จนพลิกสถานการณ์เลวร้าย แก้ไขวิกฤตในเมืองเซวียน ทหารกองทัพศัตรูก็ถูกจับกุมทั้งหมด”“ชายแดนเหนือกับชายแดนตะวันออกสร้างการป้องกันขึ้นมาใหม่! แคว้นต่าง ๆ ถูกหนานฉีพวกเราตีพ่ายจนหวาดกลัว คงมิกล้ามารุกรานอีกเป็นแน่!”
ห้องชงชาในโรงพักแรมหมอทหารและลูกศิษย์ถูกพาเข้ามา ทำความเคารพฮ่องเต้บนพระที่นั่งหลักเซียวอวี้ล้างมืออย่างง่าย ๆ ใส่เสื้อคลุมสบาย ๆ แต่มิอาจปกปิดรังสีสูงส่งของฮ่องเต้ได้ ผมดำขลับมัดรวบด้วยผ้ายาวประดับมุขขาว คิ้วคมเด่นชัด ดูแข็งแรงกำยำ“ในเมื่อเป็นหมอทหาร เหตุใดไม่ตามกองทัพใหญ่ไป แต่กลับแอบหนีมาที่แห่งนี้?” เมื่อเผชิญกับคำซักถามของฮ่องเต้ หมอทหารก็อธิบายอย่างไม่เร่งรีบ“ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยได้รับคำสั่งในยามคับขัน หาใช่หมอทหารที่แท้จริงไม่”สิ้นคำกล่าว ก็มีคนเดินเข้ามาในห้องชงชา“ฝ่าบาท” ผู้มาคือเฟิ่งจิ่วเหยียนเมื่อเซียวอวี้เห็นนาง ก็รีบลุกขึ้น น้ำเสียงฟังดูตำหนิเล็กน้อย“ทำไมไม่นอนอีก?”เฟิ่งจิ่วเหยียนโค้งให้เขาเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงพร้อมกับเขา แนะนำอาจารย์กับลูกศิษย์สองคนนั้นอย่างเป็นทางการ“เรื่องนี้หม่อมฉันเลินเล่อเอง ฝ่าบาท ตอนนั้นหม่อมฉันประสบภัยในภูเขาหิมะเทียนฉือ และได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขา”สีหน้าของเซียวอวี้ผ่อนคลายลง ไม่ดุดันเหมือนก่อนหน้านี้เขารีบออกคำสั่ง“ที่แท้ก็เป็นสองคนนี้นี่เอง เชิญนั่ง”หมอเทวดาเฒ่ารีบโค้งคำนับ“มิได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ข้าน้
ณ จวนจู้กั๋วกง เมืองเซวียนองครักษ์เข้ามาในเรือนอย่างเร่งรีบ รายงานจู้กั๋วกงว่า“ใต้เท้า! กองทัพเยี่ยนจับฮ่องเต้เยี่ยน มุ่งหน้ามามอบตัว!”จู้กั๋วกงประหลาดใจเล็กน้อย“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ! ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด?”จู้กั๋งกงรีบนำคนตรงไปที่นั่น จึงเห็นเพียง ฮ่องเต้เยี่ยนที่หิวจนผอมโซ ถูกกองทัพเยี่ยนจับมัดแขนมัดขา โยนทิ้งไว้บนพื้นกองทัพเยี่ยนถอดเสื้อเกราะออก คุกเข่าบนพื้น ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มขมขื่นอย่างเอาใจและประจบสอพลอ“ขอร้องพวกท่านล่ะ ให้อาหารข้ากินเถอะ…พวกข้ายอมแพ้แล้ว!”จู้กั๋วกงเหลือบมองฮ่องเต้เยี่ยนที่สลบบนพื้น จากนั้นก็ส่ายหน้าเกรงว่าฮ่องเต้เยี่ยนคงคาดคิดไม่ถึง ว่าตัวเองจะตกอยู่ในเงื้อมมือคนของตัวเองจิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงจริง ๆจู้กั๋วกงออกคำสั่งเสียงแข็งกร้าว“จับพวกเขากลับไป คุมขังเอาไว้!”“รับทราบ!”ในคืนนั้น จู้กั๋วกงเขียนจดหมายด้วยตนเองหนึ่งฉบับ สั่งให้คนไปส่งให้ฝ่าบาทอย่างเร่งด่วนในเวลาเดียวกัน เซียวอวี้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงอยู่ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงบนถนนที่พวกเขาเดินทางกลับ ล้วนมีประชาชนคอยต้อนรับตลอดทางคืนนี้ พวกเขาเข้าพักที่โรงพักแรม
คำที่ผู้คุมโทษบอก ถานไถเหยี่ยนทำเป็นไม่สนใจดวงตาของเขามีเพียงใยแมงมุม สายตาว่างเปล่าทอดมองยาวไกล“สงครามข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง”ผู้คุมโทษถูกจ้างมาจัดการให้ ท่าทีจึงเคารพนอบน้อม“ฝ่าบาทเสด็จไปรบด้วยตัวเอง ปราบปรามกองทัพศัตรูในเมืองเซวียนได้แล้ว กองกำลังเสริมของแต่ละแคว้นก็ถูกจับไปเป็นเชลยหมด“ราชสำนักเกณฑ์ทหารทุกพื้นที่ เตรียมบุกโจมตีเป่ยเยี่ยนและแคว้นต้าเซี่ย คาดว่า แคว้นหนานฉีปลอดภัยแล้ว”สีหน้าของถานไถเหยี่ยนเฉยชา“เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘ใยแมงมุม’ หรือไม่”?ผู้คุมโทษนิ่งงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็เรียกสติกลับมา“ท่านหมายถึงสนามกลไกของตระกูลตงฟางหรือ! ของสิ่งนั้นวิเศษมาก เผยแพร่ไปทั่วแคว้นหนานฉี ไม่ว่ากองทัพศัตรูจะปรากฏที่ไหน ก็จะถูกพวกเราขัดขวาง!”พูดถึงเรื่องนี้ ผู้คุมโทษก็รู้สึกมีเกียรติเขาหมกมุ่นอยู่กับการเล่าเรื่องราว จนไม่สังเกตเห็น ความเปลี่ยนแปลงของถานไถเหยี่ยน ภายในห้องขังถานไถเหยี่ยนหันมา เผชิญหน้ากับเขา ถามเสียงเข้มว่า“สนามกลไกของตระกูลตงฟาง?”ผู้คุมโทษพยักหน้าอย่างหนักแน่น“ใช่แล้ว! ตระกูลตงฟางนั่นแหละ! คุณชายตงฟางนำกองทัพใหญ่สร้างสนามกลไกขึ้นมา เพียงเส้นทา
เมืองเซวียนกองทัพศัตรูภายในเมือง นอกจากกองทัพเยี่ยนที่ถอยกองกำลังไปอยู่ภูเขาจิ่วเหลียน กองทัพอื่นล้วนถูกจับเป็นเชลยเชลยศึกถูกบังคับให้ถอดเสื้อเกราะ วางอาวุธลง ถึงจะถูกปล่อยออกไปจากเมืองเซวียนธนูแต่ละแบบของแคว้นต้าเซี่ย ล้วนถูกทิ้งไว้ในเมืองเซวียน เสียไปให้กองทัพแคว้นหนานฉีอย่างสูญเปล่าเดิมทีซ่านชุนอยากทำลายธนูเหล่านั้นทิ้งก่อนทว่า ยามที่พวกเขาวางอาวุธนั้น ต่างมีกองทัพแคว้นหนานฉียืนเฝ้าอยู่ข้าง ๆ ต่อให้เขาอยากเล่นตุกติก ก็ไม่มีโอกาสในสภาพอากาศหนาวเหน็บ เหล่าทหารกองทัพพันธมิตรออกไปจากเมืองเซวียนด้วยอาภรณ์ชิ้นบางเมื่อเห็นท่าทางหมดสภาพของกันและกัน ต่างคนต่างไม่ส่งเสียงออกมาซ่านชุนหันกลับไปมองเมืองเซวียน ปฏิญาณกับตัวเองว่า——เขาต้องได้นำกองทัพใหญ่โจมตีกลับอีก!หากไม่ใช่เพราะพวกเขาถูกลอบโจมตีโดยที่ไม่ได้เตรียมตัว กินนอนก็ลำบาก กำลังทหารเบาบางลง คงไม่แพ้จนมีสภาพน่าเวทนาขนาดนี้เหล่าเชลยศึกถูกส่งมายังค่ายทหาร ถูกควบคุมโดยแคว้นหนานฉีเข้าด้วยกันข้อดีของการถูกจับเป็นเชลยคือ มีอาหารให้กินในที่สุดถึงแม้ทุกคนจะได้กินแค่โจ๊กหนึ่งถ้วย หมั่นโถวหนึ่งลูก ก็ยังดีกว่าถูกขังอยู่ในเมือ
หร่วนฝูอวี้ดิ้นรนอยู่นาน จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“เฮ้อ! เจ้าโง่ จริง ๆ แล้ว…คืนนั้นเจ้าหลับอย่างกับหมูตาย เจ้าไม่ได้ร่วมหอกับข้าเลยสักนิด”รุ่ยอ๋องได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าพลันหม่นลงเขาแทบไม่อยากจะเชื่อเนื้อความที่เขาได้ยิน“เจ้า ว่าอะไรนะ?”ไม่ได้ร่วมหอ?แล้วเด็กคนนั้นล่ะ?สายตาที่หร่วนฝูอวี้มองมายังเขา เจือไปด้วยความสงสารไม่น้อยเขาโง่ถึงเพียงนี้เลยหรือ ตัวเองทำหรือไม่ทำก็ยังไม่รู้ หลังจากนี้กลัวจะถูกคนหลอกง่าย ๆ“ไม่ได้ร่วมหอ และไม่มีลูกด้วย เข้าใจหรือไม่?” นางพูดอย่างละเอียดอ่อนรุ่ยอ๋องออกแรงจับข้อมือของนาง จดจ้องนางแน่นิ่ง นัยน์ตาที่เคยสงบสุข ย้อมไปด้วยโทสะหลายส่วน“ไม่มีลูก? แล้วชีพจรครรภ์คืออะไร”เขานิสัยดี จนถึงเวลานี้ยังคุมอารมณ์อยู่หร่วนฝูอวี้ตอบกลับ“วิชาไสยเวทของหนานเจียง ข้าใช้วิชาไสยเวทสร้างขึ้นมา”รุ่ยอ๋องเข้าใจในทันที ไม่แปลกใจเลย ที่ครรภ์ของนางจะดูออกช้าขนาดนี้ที่แท้ไม่ใช่เพราะนางรักษารูปร่าง แต่นางไม่ได้ตั้งท้องเลยต่างหาก!นางโกหกเขามาตลอด!นางโกหกเขาได้อย่างไร…รุ่ยอ๋องรู้สึกแน่นหน้าอกหายใจลำบาก ทั่วทั้งร่างกายเหมือนมีไฟแผดเผา“ข้าไปทำอะไรให