“ข้าไม่อยากเสียเวลากับคนอย่างพวกเจ้า ข้าหิวจะตายแล้ว ไปกันเถอะ!”มือใหญ่ของตวนชินอ๋องคว้าจับ เฉินฝานที่อยู่ข้างกายตน “เขยรัก พวกเราออกจากวังหลวง กลับไปดื่มสุราและเป่ายิงฉุบกันเถอะ!”“ไปไม่ได้!”เสิ่นหมิงหยวนลุกขึ้นยืนแล้วพูดทันควันตวนชินอ๋องหันหน้ากลับมา มองค้อนไปที่เสิ่นหมิงหยวน ตะคอกเสียงดังด้วยความโมโห “เจ้าเป็นใคร? มีสิทธิ์ใดมาขวางข้า?”ยามตวนชินอ๋องโมโห เขาเหมือนราชสีห์ในทุ่งหญ้า แม้ส่วนลึกในใจของเสิ่นหมิงหยวนจะรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย แต่เขาควบคุมสีหน้าได้ดียิ่งนัก ผู้อื่นมองไม่ออก“ฝ่าบาทยังไม่มีคำสั่งจบการประชุมราชสำนัก!”“มนุษย์ไม่ใช่เทพเซียน ตอนนี้เที่ยงวันแล้ว ตวนชินอ๋องหิวแล้ว เป็นเรื่องปกติ หากเขาคิดจะไป ข้า...”ฉินเย่ว์เหมยเงียบครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นแล้วโบก “อนุญาตให้เขาไป!”“ขอบพระทัยฝ่าบาท ฮ่าๆๆๆ!”เสียงหัวเราะดังก้องของตวนชินอ๋อง ดังขึ้นในท้องพระโรง“เขยรัก พวกเราไปกันเถอะ!”“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสิ่นหมิงหยวนลุกขึ้นห้ามอีกครั้ง“ตึ้ง!” ตวนชินอ๋องที่โมโหร้าย ถอดรองเท้าของตน โยนไปที่หน้าของเสิ่นหมิงหยวน“เจ้าหูไม่ดี ก็รีบไปหาหมอ เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินหรือ ฝ่าบาทบอกว
เดือนสี่ของแคว้นหลู่ ร่ำรวยยิ่งนักทั่วทั้งแคว้น ล้วนไม่ต้องทำไร่ทำนา ทุกบ้านเรือนกินดีอยู่ดีก่อนหน้านี้เพียงกินอิ่ม ก็พอใจแล้ว ตอนนี้ไม่เพียงกินอิ่ม แต่ยังต้องกินดีอีกด้วยข้อนี้ ภายในวังหลวงของแคว้นหลู่ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนโอวหยางน่าหลันเรื่องมากด้านการกินยิ่งนัก อาหารจำพวกแป้งต้องซื้อมาจากเมืองข้าวสาลีอย่างแคว้นเยี่ยน ข้าวสารต้องเป็นข้าวที่ปลูกในเมืองอย่างแคว้นจ้าว“ถุย!”โอวหยางน่าหลันที่กำลังกินอาหาร จู่ๆ ก็คายข้าวในปากออกมา“นี่คืออะไร ไม่อร่อยเลยสักนิด? เกาลี่!”โอวหยางน่าหลันร้องเรียกขุนนางคนสนิทเสียงดัง“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ!” เกาลี่รีบวิ่งมาจากนอกตำหนัก“ไปถามห้องเครื่อง วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดข้าวนี้จึงไม่อร่อยเลยสักนิด”ไม่นาน เกาลี่ก็นำตัวพ่อครัวหลวงประจำวันนี้มาตรงหน้าโอวหยางน่าหลัน“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ!” เมื่อเข้ามาในตำหนัก พ่อครัวหลวงตอบตามความจริง “ข้าววันนี้ ไม่ใช่ข้าวสารจากเมืองน้ำอย่างแคว้นจ้าวพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของพ่อครัว โอวหยางน่าหลันโมโหกว่าเดิม “เหตุใดจึงไม่ใช่ข้าวสารจากเมืองน้ำอย่างแคว้นจ้าวเล่า ข้ากินได้แค่ข้าวสารของที่นี่ เจ้า
“จางผิงเล่า ไปตามตัวจางผิงมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เสียงตะคอกด้วยความโมโหของโอวหยางน่าหลัน ดังก้องในตำหนักองค์หญิงแคว้นหลู่ผ่านไปห้าวันแล้ว สำนักห้องเครื่องหลวงยังไม่มีข้าวสารจากเมืองน้ำแคว้นจ้าว และแป้งจากดินแดนข้าวสารลีแคว้นเยี่ยนก็หมดแล้ว“เคร้ง!”โอวหยางน่าหลันโยนกระบี่เล่มหนึ่งไปตรงหน้าจางผิง“ลำพังข้าวสารและแป้งยังไม่อาจจัดซื้อได้ ตำแหน่งเลขาธิการของเจ้ามีประโยชน์ใด? ปลิดชีพตนเองซะ!”จางผิงถือมีดด้วยสองมือที่สั่นเทา“องค์หญิง ไม่ใช่ว่ากระหม่อมไม่อยากซื้อ แต่ว่าข้าวสารจากเมืองน้ำและแป้งจากเมืองข้าวสาลีไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนตาย จางผิงอยากแก้ตัวให้ตนเองก่อน“ไม่มีแล้ว? ไม่มีแล้วได้อย่างไร? นี่เป็นเพียงวาจาของพ่อค้าเจ้าเล่ห์เท่านั้น ข้าบอกให้เจ้าเสนอราคาเพิ่ม เจ้าเพิ่มแล้วหรือไม่?”“เพิ่มแล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้าวสารหนึ่งจิน กระหม่อมเพิ่มราคาให้เป็นสิบตำลึงเงินแล้ว แต่พวกพ่อค้ายังคงบอกว่าไม่มี”ข้าวสารจินหนึ่งสิบตำลึงเงิน แม้จะเป็นข้าวสารคุณภาพดีอันดับหนึ่ง ราคานี้ก็สูงลิ่วมากแล้วโอวหยางน่าหลันขมวดคิ้วเป็นปม “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? บวกราคาเพิ่มขนาดนี้แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ขายหนิ
“คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเหี้ยมโหดเช่นนี้ สืบมา ไปสืบมาให้ดี ต้องเอาตัวคนลึกลับคนนั้นออกมาให้ข้า!”โอวหยางน่าหลันนั่งบนบัลลังก์มังกร ตะโกนเสียงดังด้วยความโมโหแคว้นหลู่ใช้ทรัพยากรคนและสิ่งของไปมาก สืบมานานกว่าครึ่งเดือน ยังไม่เจอเบาะแสใดๆ ที่มีประโยชน์วิกฤตขาดแคลนอาหารของแคว้นหลู่รุนแรงขึ้นเรื่อยชาวบ้านหลายคนเริ่มหิวตายบนท้องถนน ชาวบ้านที่หิวตายเหล่านั้น ตอนตาย ในมือยังกำเงินจำนวนมากเอาไว้ผู้คนสิ้นหวังเป็นที่สุด นับตั้งแต่โบราณ ได้ยินเพียงว่าไร้เงินจะหิวตาย ทว่ามีเงินแล้วยังหิวตาย เพิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งแรกในใต้หล้า“เฮ้อ! สวรรค์จะทำลายแคว้นหลู่ของข้าแล้ว!”คนมากมายที่ไม่หิวตาย ทว่าสิ้นหวังเริ่มปลิดชีพตนแล้วเวลาเพียงสี่วันท้องฟ้าแคว้นหลู่ปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มในทุกวันมีคนจำนวนมากหิวตายและฆ่าตัวตายแคว้นใกล้เคียงเห็นภาพนี้ ล้วนเศร้าสลดเมื่อเดือนสองเดือนก่อน ชีวิตของชาวแคว้นหลู่ ทำให้แคว้นใกล้เคียงอิจฉายิ่งนักคนที่มีญาติอยู่แคว้นใกล้เคียง ล้วนหนีจากแคว้นหลู่ไปหาญาติแคว้นอื่นแล้ว ทว่าคนที่ไม่มีญาติอยู่แคว้นใกล้เคียง ทำได้เพียงรอคอยความตายในแคว้นหลู่ทั่วทั้งแคว้นหลู่ ยังคงพยาย
เมื่อใดที่ชาวบ้านเคืองขุ่นเหล่านั้นบุกเข้ามา ก็คือวันตายของเฉินฝานเฉินฝานมองเสิ่นหมิงหยวนด้วยสีหน้านิ่งสงบ ตอบไม่ตรงคำถาม “จำนวนตัวเลขของหลี่ชิงไม่ถูกต้อง แคว้นต้าชิ่งของเราไม่ได้มีเสบียงแค่นี้!”“ใต้เท้า เวลานี้แคว้นของเรามีเสบียงเพียงเท่านี้จริงๆ ขอรับ ทุกเมืองจะส่งตัวเลขเสบียงอาหารมาที่เมืองหลวงทุกเดือน ทุกหนึ่งเดือน ข้าก็ออกนอกเมืองหลวงเพื่อตรวจตรา ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอนขอรับ”แม้หลี่ชิงจะทำงานภายใต้บัญชาของเสิ่นหยวนเลี่ยง แต่เขาแตกต่างจากหลิวเกาจัว เขาตั้งใจทำงานและรอบคอบ ระมัดระวังอย่างมากข้อนี้ฉินเย่ว์เหมยยอมรับท่ามกลางพวกพ้องของเสิ่นหมิงหยวน หลี่ชิงเป็นขุนนางเพียงคนเดียวที่ฉินเย่ว์เหมยเกลียด“เฉินฝาน หากเจ้าไม่สบาย ข้าอนุญาตให้หมอหลวงมาดูอาการ” ฉินเย่ว์เหมยพูดด้วยสีหน้าเย็นชา“ฝ่าบาท ตอนนี้พวกเรามีเสบียงอาหารจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เสบียงอาหารเหล่านั้นอยู่ในคลังเก็บอาวุธ”เฉินฝานไม่อยากอ้อมค้อมแล้ว เขาจึงพูดออกไปตรงๆ“คลังเก็บอาวุธมีเสบียงอาหารเช่นนั้นหรือ?”สายตาของทุกคนในท้องพระโรง มองไปทางฟางซินฮุ่ย“...” ฟางซินฮุ่ยลำบากใจทว่าไม่อาจพูดออกมาได้นับตั้งแต่เกณฑ์ทหาร
“ทุกคลังเก็บอาวุธ มีเสบียงอาหารบรรจุอย่างน้องครึ่งหนึ่งมองข้าวสารกองโต นอกจากพวกเสิ่นหมิงหยวนแล้ว ขุนนางคนอื่นๆ ล้วนน้ำตาคลอเบ้าเสบียงอาหารแคว้นต้าชิ่งมีเสบียงอาหารมีเสบียงอาหารในใจ จิตใจไม่กระวนกระวายครั้งนี้ ทุกคนเข้าใจถ้อยคำนี้อย่างชัดเจนจิตใจที่คอยกังวล ในที่สุดก็ปล่อยวางลงได้ฉินเย่ว์เหมยพูดด้วยความดีใจ “เปิด เปิดคลังเสบียง อีกทั้งต้องเปิดเดี๋ยวนี้!”หิวโหยมานานหลายเดือนต้องให้ราษฎรต้าชิ่งอิ่มท้องเสียทีชาวบ้านที่รวมตัวกันด้านนอกคลังเก็บอาวุธ มีมากกว่านอกวังหลวงเพิ่งออกมาจากวังหลวง เสิ่นหมิงหยวนก็ให้คนไปแพร่ข่าว บอกว่าตอนนี้เฉินฝานอยู่ที่คลังเก็บอาวุธ“สังหารเฉินฝาน!”“ไม่สังหารเฉินฝาน ชาวบ้านยากจะสงบ!”“สังหารเฉินฝาน!”“ไม่สังหารเฉินฝาน ชาวบ้านยากจะสงบ!”นอกคลังเกบอาวุธ เสียงร้องบอกให้สังหารเฉินฝาน ราวกับฟ้าผ่าลงมาจากสวรรค์ ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ว่า ไม่นาน...“ขอบคุณใต้เท้า!”“ช่างเป็นอัครเสนาบดีแสนดีของต้าชิ่งจริงๆ! ให้ความสำคัญกับราษฎร!”“นับตั้งแต่วันนี้ ผู้ใดกล้าบอกว่าจะสังหารใต้เท้าเฉิน ข้าจะไปสังหารเขาคนนั้นก่อน!”เสียงร้องบอกให้สังหารในต
“ฝ่าบาท ท่านเสด็จมาได้อย่างไร?”เมื่อมองเห็นคนในห้องหนังสือได้อย่างชัดเจน เฉินฝานก็สะดุ้งตกใจเล็กน้อย แม้ว่าจะเป็นพี่สาว แต่เวลานี้ฉินเย่ว์เหมยคือฉินหย่งคัง ฮ่องเต้ของต้าชิ่ง ดังนั้นฉินเย่ว์เหมยจึงไม่เคยมาที่บ้านของเฉินฝานเลย“เจ้าตอบคำถามของข้าก่อน!”ฉินเย่ว์เหมยร้อนอกร้อนใจเดิมทีนางอยากให้หงอิงมาเรียกเฉินฝานเข้าวัง แต่นางรอไม่ไหวแล้วจริง ๆ ถึงได้ออกมาพร้อมกับหงอิง“ซื้อมาพ่ะย่ะค่ะ” เฉินฝานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“ซื้อมา?”“ถ้าไม่อย่างนั้นจะให้แย่งมาหรือ?”“เจ้าจริงจังหน่อยสิ!”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เรื่องนี้ต้องขอบคุณ... เข้ามาได้!”เฉินฝานโบกมือไปทางด้านนอกห้องหนังสือ ครู่หนึ่ง ร่างอรชรงดงามก็เข้ามาอย่างช้า ๆแม้ว่าบนร่างของนางจะสวมเสื้อผ้าของต้าชิ่ง แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นของนาง และหมุดจมูกที่ส่องประกายวาววับบนจมูก ทำให้คนเห็นแวบเดียวก็ดูออกได้ว่านางมิใช่ชาวต้าชิ่ง“อีจี๋ถวายบังคมฝ่าบาท”ฐานะของอีจี๋ไม่ด้อยไปกว่าฉินเย่ว์เหมย นางเพียงแค่ก้มศีรษะลงเล็กน้อย ไม่ได้ทำการคุกเข่า“สวัสดีจักรพรรดินี!”ฉินเย่ว์เหมยพยักหน้าอย่างเร่งรีบ แล้วมองไปทางเฉินฝานด้วยความร้อนใจการมาเยื
“พระพี่นาง!” อีจี๋ปิดปากหัวเราะเบา ๆ “ท่านอย่าได้เกรงใจข้าเลย ไม่จำเป็นต้องคืนหรอก เสียเงินแค่นี้ไม่ถือว่าเป็นอะไร!”ฉินเย่ว์เหมยไม่รู้จริง ๆ ว่าเศรษฐินีอย่างอีจี๋ร่ำรวยมากเพียงใด“ฝ่าบาท ท่านอย่าได้เกรงใจนางเลย นางบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องแล้ว”“หา? นี่มัน...”คำพูดของเฉินฝานทำให้ฉินเย่ว์เหมยตกใจมาก ไม่คืนจริง ๆ จะเหมาะสมได้อย่างไร“พระพี่นาง สามีกล่าวเช่นนั้นแล้ว ท่านก็อย่าได้เกรงใจถึงเพียงนั้นเลย เมื่อหลายปีก่อน ต้าชิ่งมีบุญคุณใหญ่หลวงกับแคว้นของข้า เดิมทีแคว้นของข้าต้องถวายบรรณาการให้ต้าชิ่งทุกปี ขาดมานานหลายปีแล้ว เวลานี้ข้าเพียงชดเชยคืนให้ครบเท่านั้น”นั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่อีจี๋ใช้เพื่อปลอบโยนให้ฉินเย่ว์เหมยสบายใจขึ้นเท่านั้น บรรณาการแค่นั้นจะมีสักเท่าไรเชียวการแย่งชิงเสบียงกับโอวหยางน่าหลันในครั้งนี้ อีจี๋ใช้ผลผลิตจากเหมืองทองคำถึงสามสิบปีโชคดีที่นางมีเหมืองทองคำอยู่กว่าสิบแห่ง“ไม่ให้เงินท่าน แต่ท่านยังต้องนำของสิ่งอื่นกลับไป” เฉินฝานกล่าวอาวุธที่ซื้อจากแคว้นหลู่ครานี้ เฉินฝานมอบให้อีจี๋ครึ่งหนึ่งแคว้นที่ร่ำรวยมั่งคั่ง กองทัพย่อมต้องแข็งแกร่ง พลังกายของมนุษย์มีขี
“ขายถ่านหิน?” เหอจื่อหลินอึ้งไปครู่หนึ่ง “เรื่องเล็กเช่นนี้ เหตุใดพวกท่านยังต้องให้ใต้เท้าไปด้วยตัวเองเล่า?” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เหอจื่อหลินก็รู้สึกฉุนเฉียวในใจเล็กน้อยเกิดอะไรขึ้นกับขุนนางเมืองเฟิ่งหวงแห่งนี้ จัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ได้เลยหรือ?“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยไปขวางแล้ว แต่ใต้เท้าบอกว่ามีลูกค้าสองรายที่เขาจำเป็นต้องไปด้วยตัวเองขอรับ” เหอจื้อเฟยกล่าว“ลูกค้ารายไหนถึงได้สำคัญเพียงนี้?”“แคว้นจ้าวขอรับ ใต้เท้าบอกว่าหากไม่มีฮ่องเต้แคว้นจ้าว เขาก็คงไม่ได้มาที่เมืองเฟิ่งหวง และก็คงไม่ได้ค้นพบว่าเมืองเฟิ่งหวงมีเหมืองถ่านหินปริมาณมหาศาลเร็วขนาดนี้ นอกจากนี้เงินทุนตั้งต้นสามสิบล้านตำลึงของธุรกิจเหมืองถ่านหินเมืองเฟิ่งหวงก็เป็นเงินที่ฮ่องเต้แคว้นจ้าวมอบให้อีกด้วย เขาย่อมต้องไปขอบคุณอีกเบื้อง” เหอจื่อหลิน “...”ทำร้ายคนแบบนี้เลยเหรอ?ทันใดนั้นเหอจื่อหลินก็ลอบเป็นห่วงฮ่องเต้แคว้นจ้าว กังวลว่าเขาจะกระอักเลือดออกมาแล้วสิ้นชีพไป “แล้วลูกค้ารายที่สองเล่า เป็นผู้ใด?”“ข้าน้อยไม่ทราบ ใต้เท้าไม่ได้บอกไว้ขอรับ” เหอจื้อเฟยส่ายศีรษะ“เอาละ ข้ารู้แล้ว”เฉินฝานทำงานเช่นนี้เสมอ ดูแปลกและไร้กฎเ
เหล่าขุนนางต่างก็หันหน้ามองไปทางด้านนอก นอกพระราชวังไม่มีเงาของเฉินฝานอยู่เลยจริง ๆฉินเย่ว์เหมยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองหงอิงที่อยู่ทางด้านข้างหงอิงพยักหน้าเล็กน้อย บ่งบอกว่าเหอจื่อหลินกลับมาคนเดียวจริง ๆ“จื่อหลิน เกิดอะไรขึ้น? เจ้ากลับมาคนเดียวหรือ?”เมื่อเหอจื่อหลินเดินผ่านเหอกัง เหอกังก็ถามด้วยความร้อนอกร้อนใจ“แม่ทัพเหอ ท่านขัดพระบัญชา!”ทางฝั่งเหอจื่อหลินเพิ่งจะพยักหน้า ทางเสิ่นหมิงหยวนก็ซักถามเสียงดังทันที เหอจื่อหลินนำพระราชโองการไป แต่เขาไม่ได้พาเฉินฝานกลับมาก็คือการขัดพระบัญชา“ขุนนางเหอ เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่?” ฉินเย่ว์เหมยถาม“ฝ่าบาท!” เหอจื่อหลินหยิบถ่านขนาดใหญ่สองก้อนออกมาจากตัว “ก็เหมือนกับที่ใต้เท้าเฉินพูดไว้ นี่เป็นอัญมณีล้ำค่าอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ”“แม่ทัพเหอ ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังพูดอะไรอยู่? ฝ่าบาททรงถามท่าน ท่านก็ตอบดี ๆ สิ? เหตุใดถึงขัดพระบัญชา? เฉินฝานหวาดกลัวจนหลบหนีไปแล้วใช่หรือไม่? ท่านปกป้องเขาใช่หรือไม่?” เสิ่นหมิงหยวนบีบคั้นอย่างรุนแรงเหอจื่อหลินก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอเช่นกัน เขาตอกกลับไปทันทีว่า “หากไม่
อิจฉาเหอจื้อเฟยที่โชคดีเช่นนี้เฉินฝานยื่นเอกสารในมือให้เหอจื้อเฟย“เอกสารนี้เป็นความลับ มีแค่ท่านเท่านั้นที่อ่านได้”“หลังจากกลับไป ท่านศึกษาทุกวัน ทุกภาพในนี้ ทุกข้อที่เขียนไว้ ล้วนเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้เมืองเฟิ่งหวงของพวกท่านร่ำรวยที่สุดในแคว้นต้าชิ่ง”คำพูดของเฉินฝานเกินจริงเล็กน้อยประเด็นสำคัญคือการตลาดบางส่วนที่เขียนไว้ ทำให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะแค้นอื่นเห็นแล้วไม่สบายใจนอกเหนือจากนี้ เฉินฝานพูดเช่นนี้ เพราะอยากให้เหอจื้อเฟยเห็นความสำคัญ ทำตามสิ่งที่เขาต้องการอย่างเข้มงวด“ขอรับ ใต้เท้า ข้าจะทำตามขอรับ!”ตอนเหอจื้อเฟยรับเอกสารมาจากมือของเฉินฝาน มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อยเนื้อความในกระดาษเหล่านี้ มีเคล็ดลับที่จะทำให้ชาวเมืองเฟิ่งหวงมีชีวิตที่ร่ำรวยช่วยให้ชาวเมืองเฟิ่งหวงมีชีวิตที่ดี คือปรารถนาสูงสุดในชีวิตของเหอจื้อเฟย“อีกเรื่องหนึ่ง”เหอจื้อเฟยกำลังจะคุกเข่าขอบคุณ เฉินฝานพูดขึ้นอีก “ปล่อยตตัวเหอหรันออกมา เขาชำนาญพื้นที่ต้าเฮย ถ่านหินของพื้นที่ต้าเฮยต้องการเขา ให้เขานำสหายก่อนหน้านี้ช่วยกันทำถ่านอัดก้อน ถือเป็นโอกาสให้เขาทำความดีชดเชยความผิด”“ท่านใต้เท้า”เหอจื้อเฟย
“พวกเฉินฝานยังกลับไม่ถึงเมืองเฟิ่งหวง พวกเขาเห็นคนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ที่ประตูเมืองคนพวกนั้น พวกเขาล้วนเป็นเด็ก สตรีและคนชราของพื้นที่ต้าเฮยแม้พวกเขาไม่ได้ตามไป แต่พวกเขาทราบเรื่องหินนิลดำสามารถนำมาเป็นฟืนแล้วเฉินฝานเพิ่งเดินเข้าไปใกล้ประตูเมือง ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้น ต่างคุกเข่าลงเฉินฝานยังไม่ทันได้ตั้งตัว นางเหอที่คุกเข่าด้านหน้าสุดพูดเสียงดัง“ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ท่านคือเทพเซียนลงมาจุติเมืองเฟิ่งหวงของเรา!”“ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ท่านคือเทพเซียนผู้ช่วยเหลือชาวบ้านจากความยากลำบาก!”“ขอบคุณใต้เท้า ชาวเมืองเฟิ่งหวง จะระลึกถึงบุญคุณของท่านใต้เท้า”ชาวบ้านด้านหลังนางเหอก็กล่าวขอบคุณเฉินฝานตามนางเหอเห็นเด็กสตรีและคนชราคุกเข่าขอบคุณเฉินฝาน พวกชาวบ้านที่ตามไปพื้นที่ต้าเฮย รวมถึงเหอจื้อเฟย ต่างก็คุกเข่าเช่นเดียวกันชั่วขณะหนึ่ง เสียงกล่าวขอบคุณเฉินฝาน ดังสนั่นหวั่นไหวการขอบคุณที่เป็นทางการและยิ่งใหญ่เช่นนี้ กลับทำให้เฉินฝานรู้สึกประหม่าเล็กน้อย“ลุกขึ้น ลุกขึ้นกันเถอะ!”เฉินฝานรีบเดินเข้าไปใกล้ โน้มตัวพยุงนางเหอ“ตอนนี้เพียงค้นพบเชื้อเพลิง หลังจากนี้ยังต้องตีตลาดอีก
มีคนไม่เชื่อ ถึงขั้นวิ่งไป ใช้มือลองสัมผัสคนที่ลองสัมผัสยื่นมือไปวางเหนือหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ รีบชักมือกลับมา “ร้อน”แล้วมีอีกหลายคนมาลอง ปฏิกิริยาของพวกเขาล้วนเหมือนคนแรกหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ ไม่เพียงร้อน ทั้งยังร้อนมากๆ“หินนิลดำนี้เผาได้จริงๆ หรือ?”ชาวบ้านฉงนสงสัย คนที่เคยลองตอบคำถาม“เมื่อครู่ข้าไปลองมาแล้ว คล้ายว่าจะนำไปเผาได้จริงๆ”“พวกเจ้าอย่าถูกหลอก เมื่อครู่ใช้ใบไม้เผาไม่ใช่หรือ? ไฟลุกโชนเช่นนั้น ก้อนหินย่อมร้อน” หลี่เต๋อเจียงพูดเสียงดัง“เจ้าไม่เชื่อ?” เฉินฝานมองหลี่เต๋อเจียงด้วยแววตาเย็นชา“ใต้เท้า ข้าเพียงสงสัยในสิ่งที่สมเหตุสมผลเท่านั้น”“ได้ เช่นนั้นเจ้ามาลองดูเล่า!”เฉินฝานพูด จากนั้นสายตาของเขามองไปทางอ๋องตวน อ๋องตวนเข้าใจทันที เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ ไปลากตัวหลี่เต๋อเจียงมา จากนั้นกดมือหลี่เต๋อเจียงลงบนหินนิลดำที่เวลานี้กลายเป็นสีแดง“อ๊าก อ๊าก!” หลี่เต๋อเจียงร้อนจนกรีดเสียงร้อง“ร้อนมาก ร้อนมาก ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต!”หลี่เต๋อเจียงอ้อนวอนสุดชีวิต แต่คล้ายอ๋องตวนไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น มือที่กดมือหลี่เต๋อเจียงยังคงไม่ปล่อย“
ตอนหม่าเป่าเถียนพูดถ้อยคำนี้ หลี่เต๋อนำหินนิลดำในมือเสิ่นหมิงหยวน ไปตรงหน้าฉินเย่ว์เหมยแล้ว เห็นก้อนหินในมือหลี่เต๋อ หัวใจของฉินเย่ว์เหมยหล่นวูบทันที สีหน้าไม่สู้ดีนักนี่ไม่ใช่อัญมณีอะไรจริงๆ เป็นเพียงหินธรรมดาก้อนหนึ่งเท่านั้น“หินนิลดำ? กระหม่อมเคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมก็เคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”ขุนนางมากมายในท้องพระโรงล้วนบอกว่าตนเคยเห็นมาก่อน“ฝ่าบาท!” เซี่ยชิงขุนนางผู้บัญชาการเดินออกมา “กล่าวว่าหินนิลดำเป็นอัญมณี ใต้เท้าเฉินในฐานะอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของราชสำนัก ฝ่าบาทโปรดมีราชโองการ ให้ใต้เท้าเฉินรีบกลับเมืองหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ศาลยุติธรรม เทียบเท่ากับคณะกรรมการตรวจสอบวินัย ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของจักรพรรดิโดยตรงเซี่ยชิงเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ร่วมมือกับเสิ่นหมิงหยวน และไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินฝานแม้ฉินเย่ว์เหมยจะเอนเอียงไปทางเฉินฝาน แต่นางไม่อาจหาเหตุผลใดๆ มาอ้างให้เขาได้หินนิลดำเป็นอัญมณี เหลวไหลเกินไปแล้วจริงๆฉินเย่ว์เหมยเขียนจดหมายเรียกตัวเฉินฝานกลับเมืองหลวงทันที เดิมทีนางยื่นให้หลี่เต๋อก่อน ตอนหลี่เต๋อรีบเดิ
อ๋องตวน: “สิ่งที่ข้าเหยีบคือก้อนหินสีดำสนิท มีอัญมณีที่ใดกัน?”เฉินฝาน “ก้อนหินสีดำสนิทเหล่านี้คืออัญมณีขอรับ”“เสี่ยวฝาน...” อ๋องตวนก้มตัวลงเก็บก้อนหินขึ้นมาหนึ่งก้อน “เจ้าบอกว่านี่คืออัญมณี”เฉินฝานพยักหน้ารวมถึงอ๋องตวน ทุกตนต่างเบิกต้ากว้างมองเฉินฝานด้วยความตกตะลึงอย่างช้าๆ สายตาตกตะลึงของขุนนางเมืองเหอตูแปรเปลี่ยนเป็นดูแคลนและหัวเราะเยาะ“หากหินสีดำนี้คืออัญมณี เช่นนั้นเมืองเฟิ่งหวงร่ำรวยมหาศาลจริงๆ!”หลี่เต๋อเจียงที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนหัวเราะเยาะเสียงดัง“ช่างเพ้อเจ้อจริงๆ เป็นถึงอัครเสนาบดี แต่กลับปัญญาอ่อนเช่นนี้”“คนเช่นนี้ เป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร?”“เพ้อเจ้อจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร”คนจากเมืองอื่นที่มาดูความครึกครื้น ตำหนิเฉินฝาน ตามหลี่เต๋อเจียงแม้กระทั่งชาวเมืองเฟิ่งหวงที่เคารพเฉินฝาน ก็เริ่มมองเฉินฝานด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยหินสีดำเช่นนี้ มีอยู่ทั่วเมืองเฟิ่งหวงชาวเมืองเฟิ่งหวง เกลียดหินสีดำเช่นนี้เป็นที่สุด ภูเขาและพื้นดินที่มีหินสีดำเยอะ ล้วนไม่อาจปลูกอาหารและต้นไม้ได้อีกทั้งหินสีดำนั้นเพียงออกแรงเล็กน้อย แค่เคาะก็แตกแล้ว ไม่อาจนำ
“เสี่ยวฝานสบายดี พวกเจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”“เช่นนั้นก็ดีขอรับ ตอนนี้เมืองเหอตูไม่มีท่านเจ้าเมืองชั่วคราว ข้ามีเรื่องงานอยากขอคำชี้แนะจากท่านใต้เท้า ท่านอ๋อง ท่านเชิญใต้เท้าออกมาให้พวกข้าได้หรือไม่ขอรับ?”อ๋องตวนเป็นคนตรงไปตรงมา เขาจะเอาชนะพวกขุนนางวิชาการได้อย่างไร ชั่วขณะหนึ่งก็หลงกลพวกเขาแล้วเวลานี้ เขาจะไปตามเฉินฝานออกมาได้อย่างไร?อ๋องตวนไม่ตามเฉินฝานออกมา เช่นนั้นก็พิสูจน์ว่าหากเฉินฝานไม่ป่วย เช่นนั้นเขาก็กำลังหลบหน้าไม่กล้าเจอผู้คน“เอี๊ยด!”ขณะที่อ๋องตวนกำลังลำบากใจอยู่นั้น เฉินฝานเปิดประตูห้อง“เสี่ยวฝาน!”การปรากฏตัวของเฉินฝาน คนที่ดีใจที่สุดคืออ๋องตวน “เจ้าออกมาได้อย่างไร?”“ขืนข้ายังไม่ออกมา ข้าจะป่วยตายในห้องแล้วขอรับ” ขณะเฉินฝานพูด สายตาเย็นชาของเขามองไปทางพวกขุนนางเมืองเหอตูตำแหน่งที่สายตาของเขากวาดมองไปนั้น ทำให้เกิดความสั่นเทาท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายคนนี้ มองดูแล้วสะอาดสะอ้านเรียบร้อย แต่ยามลงโทษคน วิธีการของเขานั้นร้ายกาจยิ่งนัก กระทำเพียงเล็กน้อย ก็ปลดท่านเจ้าเมืองคนหนึ่งได้แล้ว“ท่านอ๋อง ไป พวกเราไปขุดสมบัติกัน!” เฉินฝานกล่าว“ขุด ขุดสมบัติ? ได้ ได้สิ
“พื้นที่ต้าเฮยนั่น!” เฉินฝานกล่าว“พื้นที่ต้าเฮยที่พวกโจรป่าอาศัยอยู่หรือ?”“ถูกต้อง!”“ข้าว่าพื้นที่ต้าเฮยนั่น นอกจากโคลนดำที่ดูดมนุษย์ได้แล้ว ภูเขาโดยรอบก็เป็นภูเขาหัวโล้น ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้ แล้วจะอุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร?”“ภูเขาหัวโล้นเหล่านั้นคือความร่ำรวยที่มากล้น”“เสี่ยวฝาน!” ทันใดนั้นเองดวงตาของอ๋องตวนทอประกาย “หรือว่าด้านในภูเขามีทองคำเช่นนั้นหรือ?”อ๋องตวนครุ่นคิด ภูเขาหัวโล้นมีความร่ำรวยซ่อนอยู่ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นทองคำ“ไม่ใช่ทองคำ ชั่วขณะหนึ่งอธิบายให้ท่านฟังก็ไม่อาจเข้าใจได้ อีกสองสามวันพวกเราไปพื้นที่ต้าเฮย ถึงเวลานั้นท่านก็จะรู้เอง”เฉินฝานเพิ่งตื่นนอน ทั่วทั้งเมืองเฟิ่งหวงก็มีข่าวลือแพร่สะพัดพื้นที่ต้าเฮยซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโจรป่า มีความร่ำรวยที่มากล้นเมื่อคืน หลังออกมาจากห้องของเฉินฝาน อ๋องตวนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงวิ่งไปถามเหอหรันที่คุกข่าวลือจึงแพร่สะพัดเช่นนี้ผู้คนมากมายต่างไปถามคนที่เคยเป็นโจรป่ามาก่อน ว่าพื้นที่ต้าเฮยร่ำรวยมากใช่หรือไม่ข่าวลือนี้เกินจริงไปเรื่อยๆ กล่าวถึงขั้นว่าพื้นที่ต้าเฮอยที่พวกโจรป่าอยู่นั้นมีสมบัติล้ำค่