พวกเขารออยู่ที่เดิม จนกระทั่งเสิ่นลั่วเยี่ยนขี่ม้ากลับมาบนหลังม้ามีกวางซีกาสองตัว และกระต่ายจำนวนหลายตัวเมื่อเห็นเสิ่นลั่วเยี่ยนกลับมาพร้อมกับเหยื่อมากมายเช่นนี้ เหล่าองครักษ์ก็ตื่นเต้นดีใจดีใจเป็นอย่างยิ่งจนกระทั่งควบม้าไปหาเสิ่นลั่วเยี่ยน ช่วยนางแบกเหยื่อที่ล่ามาได้หยุนเจิงคร่ำครวญอยู่ในใจ ขมวดคิ้วจ้องมองไปที่เสิ่นลั่วเยี่ยน“มองอะไรของเจ้า?”เสิ่นลั่วเยี่ยนควบม้ามาตรงหน้าหยุนเจิง “ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าเป็นตัวซวย! ตอนนี้เจ้าเชื่อข้าหรือยัง?”หยุนเจิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งขมวดคิ้วเป็นปมขึ้น ก่อนจะตะโกนสั่งองครักษ์ว่า “ทิ้งสัตว์พวกนี้ให้หมด! อย่าให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว!”“นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว “ข้าลำบากลำบนกว่าจะล่าสัตว์พวกนี้มาได้สักตัว เจ้ามัสิทธิ์อันใดให้พวกเขาเอาสัตว์ไปทิ้ง เจ้าอยากโดนลงโทษหรืออย่างไร อย่าหาเรื่องให้ข้าลำบากกับเจ้าไปด้วยเลย!”“นี่เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง?”สีหน้าของหยุนเจิงเคร่งขรึมจริงจังขึ้น “พวกเราหาเหยื่อมาตั้งนานแต่ก็ไม่เจอสัตว์ตัวเป็นๆ สักตัว เจ้าออกไปไม่นานก็ได้เหยื่อมามากมายปานนี้ เจ้าจะบอกว่าเหยื่อพวกนี
“เฮ้ย เจ้าหก นี่มันเกิดอันใดขึ้นกับพวกเจ้ากันเนี่ย? ”หยุนลี่บังคับม้ามาข้างๆ หยุนเจิง มองหยุนเจิงและพวกด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “หนานย่วนมีสัตว์มากมายเป็นขโยง นี่พวกเจ้าไม่ได้กลับมาสักตัวเลยหรือ?”“โชคไม่ดี” หยุนเจิงตอบผ่านไปที แต่ในใจแอบสบถด่าพวกเขาว่าบัดซบให้พวกเจ้าลำพองใจไปก่อนเถอะ!ประเดี๋ยวก็จะถึงคราวที่พวกเจ้าต้องปาดน้ำตาบ้าง!“โชคไม่ดีอย่างนั้นหรือ?”หยุนลี่หัวเราะเยาะเสียงดัง และกล่าวเย้ยหยันว่า “ข้าว่าเจ้ายิงธนูไม่เป็นมากกว่า ข้าได้ยินว่าเสด็จพ่ออนุญาตให้ว่าที่ชายาของเจ้าเป็นคนช่วยเจ้าล่าสัตว์ แต่นี่ไม่ได้กลับมาสักตัวเลยหรือ เสด็จพ่อเพิ่งจะบอกไปว่าเจ้าเป็นบุตรีของท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งไม่ใช่หรอกหรือ?”“องค์ชายสาม!”เสิ่นลั่วเยี่ยนกัดฟันกรอดจ้องหน้าหยุนลี่ “ดูถูกข้าได้ แต่อย่ามาดูถูกท่านพ่อของข้า!”“น้องสะใภ้ เจ้าเข้าใจข้าผิดไปแล้ว” หยุนลี่กล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยันว่า “ข้าขอเดาว่า เจ้าน่ะไม่ใช่คนไร้ความสามารถหรอก แต่เจ้าคงจะอยู่กับเจ้าหกมากเกินไป ก็เลยติดเชื้อเจ้าหกเข้าแล้ว”เสิ่นลั่วเยี่ยนโกรธกับคำพูดนี้มาก หันขวับไปจ้องหน้าหยุนเจิง แอบสบถด่าในใจอยากจะรักษาหน้าตาก็ยอมร
ไม่นานนัก หยุนเจิงและพวกก็กลับมาถึงรถม้าของพวกเขาเมื่อพวกเขากลับมาถึง องค์ชายคนอื่นๆ ก็กลับมากันหมดแล้วแต่ละคนกลับมาพร้อมกับผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมบนพื้นเต็มไปด้วยสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่มากมายแม้แต่เจ้าแปดที่อายุเพียงสิบสามปี ตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยเหยื่อจำนวนไม่น้อยนอกจากหยุนเจิงแล้ว ก็มีเจ้าเก้าที่อายุเพียงสิบเอ็ดปีที่กลับมามือเปล่าเมื่อเห็นหยุนเจิงและพวกกลับมามือเปล่าเช่นนี้ ทุกคนต่างหัวเราะเย้ยหยันขึ้น “เจ้าหก เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ได้เหยื่อมาสักตัว?”“ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก! น้องสะใภ้ก็ช่วยเจ้าแล้ว เหตุใดถึงไม่ได้เหยื่ออีกเล่า?”“ข้าว่าเจ้าหกเห็นแก่หน้าตา ก็เลยไม่สะดวกใจที่จะให้น้องสะใภ้ลงมือมากกว่า”“แต่ข้าเดาว่า เจ้าหกมีจิตใจเมตตา ทนที่จะฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ได้เป็นแน่…”ต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดิเหวิน แม้องค์ชายทั้งหกจะมีความสำรวม แต่ความเย้ยหยันที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นยังคงเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนแม้แต่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าแปดก็ร่วมความครึกครื้นนี้ด้วยหยุนเจิงคร้านจะสนใจคนพวกนี้ จึงหันไปมองเยี่ยจื่อทั้งสองสบตากัน เยี่ยจื่ิอพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงจึงวางใจ
“ลูกยอมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงโค้งคำนับอีกครั้ง“ดี! ยอมรับโทษแต่โดยดีก็ดี!”จักรพรรดิเหวินพยักหน้าและตรัสด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าหลบไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้าทีหลัง!”หยุนเจิงน้อมรับพระบัญชา พาเสิ่นลั่วเยี่ยนและพวกหลบไปอยู่ข้างๆ เยี่ยจื่อ“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกับพวกเจ้ากันแน่?”เยี่ยจื่อกระซิบถามหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนเสียงเบาด้วยความสงสัย“อย่าได้เอ่ยเลย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนตอบอย่างไม่สบอารมณ์ พลางจ้องเขม็งไปที่หยุนเจิงด้วยความโกรธเกรี้ยวหยุนเจิงไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด แอบส่งสายตาเป็นนัยบอกให้เยี่ยจื่อรอดูละครฉากใหญ่ห๊ะ?เยี่ยจื่อไม่เข้าใจนัก และนางก็อดคิดสงสัยไม่ได้หรือหยุนเจิงจะมีแผนสำรองเอาไว้?ทว่า เหตุใดตอนนี้ถึงยังนิ่งสงบอยู่อีกและในขณะที่เยี่ยจื่อกำลังฉงนสงสัยอยู่นี้เอง จักรพรรดิเหวินลุกยืนขึ้นอย่างช้าๆมองดูเหยื่อเหล่านี้ที่วางอยู่ตรงหน้าโอรสของตนก็อดที่จะพยักหน้าไม่ได้“อืม ไม่เลวเลย! แต่ละคนไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ!”จักรพรรดิเหวินพลางพยักหน้า พลางเดินผ่านเหยื่อที่ตั้งอยู่ตรงหน้าขององค์ชายแต่ละคน ทั้งยังรับสั่งว่า “มู่ซุ่น รีบให้คนมานับจำ
มู่ซุ่นรายงานทีละคนนอกจากเจ้าแปดแล้ว จำนวนสัตว์ที่ถูกล่าของคนอื่นๆ ล้วนแต่ได้มานับสิบกว่าตัวทั้งสิ้นด้วยจำนวนสัตว์ที่ล่ามาได้จำนวนสิบแปดตัวของหยุนลี่นั้น เขาจึงมองทุกคนอย่างเย้ยหยันทว่า เจ้าแปดล่ามาได้เพียงแค่เก้าตัวเท่านั้นตามที่จักรพรรดิเหวินได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้จำนวนสัตว์ที่เจ้าแปดและเจ้าเก้าล่ามาได้นับเป็นจำนวนสองเท่าหากคิดเช่นนี้ นั่นหมายความว่าหยุนลี่กับเจ้าแปดนับว่าเสมอกัน…“อืม ไม่เลว ไม่เลวเลย!”จักรพรรดิเหวินค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ สายตาจ้องมองไปที่หมีตัวที่หยุนลี่ล่ามาได้ และกล่าวกับเจ้าแปดว่า “เจ้าแปด แม้ว่าเจ้าและพี่สามของเจ้าจะเสมอกัน แต่พี่สามของเจ้าล่าหมีตัวหนึ่งมาได้ ข้าจะถือว่าพี่สามของเจ้าเป็นผู้ชนะ เจ้ามีความเห็นเช่นไร?”“ลูกมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”แม้ในใจองค์ชายแปดจะไม่ยอมจำนน แต่ก็ทำได้เพียงแค่เก็บมันเอาไว้ภายในใจเท่านั้น “ฝ่าบาทเพคะ”ทันใดนั้นเองเหลียงเฟยก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม้เจ้าสามจะล่าหมีมาได้ แต่เจ้าแปดก็มีอายุเพียงแค่สิบสามปีเท่านั้น เขาล่าสัตว์มาได้ถึงเก้าตัว ก็นับว่ามีความสามารถที่หาได้ยากแล้วนะเพคะ”เมื่อได้ยินเหล
จักรพรรดิเหวินหันไปตรัสถามหยุนลี่หยุนลี่รีบกล่าวสิ่งที่ทั้งสองได้เดิมพันกันเอาไว้ออกมาทันทีสีพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวินเคร่งขรึมลงมาก และตะคอกถามว่า “เจ้าหก นี่เจ้ากำลังอิจฉาริษยาพี่สามของเจ้าอยู่หรือไม่?”หยุนเจิงส่ายหน้าพลางกล่าว “ลูกมิบังอาจอิจฉาริษยาพี่สามพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเหตุใดเจ้าถึงเดิมพันกับพี่สามของเจ้า?” จักรพรรดิเหวินเค้นถามหยุนเจิงทำท่าทางคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “คือลูก…ลูกแค่ไม่อยากเห็นพี่สามชนะ…”“ดูเหมือนเจ้าจะมีอคติกับพี่สามของเจ้ามากเลยสินะ!”จักรพรรดิเหวินหรี่ตาเล็กน้อยจ้องมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีนัก“ไม่ใช่นะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ!”หยุนเจิงโบกมือปฏิเสธอย่างแรง “ลูกไม่ได้มีอคติกับพี่สามนะพ่ะย่ะค่ะ ลูกแค่ถูกพี่สามเยาะเย้ยว่าลูกล่าสัตว์ไม่ได้ ลูกก็เลยน้อยใจ ก็เลย…”“เหลวไหล!”หยุนลี่รีบแย้งทันที “ข้าไปเยาะเย้ยเจ้าตอนไหน ข้าหวังดีอยากจะแบ่งสัตว์ที่ล่ามาได้ให้เจ้าสองตัวด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับปฏิเสธน้ำใจ เจ้าหก ข้ารู้ว่าเจ้ามีอคติกับข้าตั้งแต่เจ้าถูกลอบสังหารในครั้งที่แล้ว แต่ข้ากล้าสาบานต่อสวรรค์ว่าข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข
เมื่อเห็นสีหน้าของหยุนลี่ผิดปกติไป องค์ชายองค์อื่นๆ ก็รีบยื่นคอมองดูของในหีบที่อยู่ในมือหยุนลี่ทันทีและเมื่อได้เห็นของล้ำค่าที่อยู่ในหีบนั้น องค์ชายองค์อื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นของล้ำค่าดังกล่าวที่อยู่ในหีบใบนี้ คือกิ่งต้นจิงเหลืองที่มีความหนาเท่าหัวแม่มือ!ของล้ำค่าอย่างนั้นหรือนี่คือของล้ำค่าอย่างที่จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างนั้นหรือต้องมีอันใดผิดพลาดเป็นแน่“บังอาจ!”ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดอยู่นั้น ซูเฟยก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “มู่ซุ่น รีบให้คนไปตรวจสอบดูว่าใครกันที่กล้าบังอาจเปลี่ยนของล้ำค่าในหีบนี้ไป!”มู่ซุ่นเพียงแค่โค้งคารวะเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้เอ่ยปากเปล่งเสียงกล่าวอันใดออกมา“ยังยืนนิ่งอยู่ทำไมกันเล่า?”ซูเฟยจ้องเขม็งมู่ซุ่นด้วยความโกรธเกรี้ยว“ไม่ต้องตรวจสอบ!”ในที่สุดจักรพรรดิเหวินก็เอ่ยปากตรัสออกมาว่า “ของล้ำค่าในหีบนี้ ก็คือของสิ่งนี้ถูกต้องแล้ว!”หลังจากจักรพรรดิเหวินตรัสจบ บรรยากาศ ณ ที่นี้พลันเงียบสงัดลงทันทีนี่คือของล้ำค่าที่จักรพรรดิเหวินกล่าวถึงอย่างนั้นหรือนี่มันกิ่งต้นจิงเหลืองธรรมดาๆ กิ่งหนึ่งไม่ใช่หรอกหรือหยุนลี่เองก็
จักรพรรดิเหวินเหลือบมองเกาเหอและคนอื่นๆ แล้วถามเสียงเข้ม“เห็น...เห็นแล้ว”“เห็นหลายตัวเลย...”แต่ละคนตอบอย่างระมัดระวังจักรพรรดิเหวินถามอีกครั้ง “แล้วทำไมพวกเขาไม่นำสัตว์ที่ล่าได้กลับมาด้วย”เกาเหอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบอย่างระมัดระวัง “องค์ชายหกและพระชายาองค์ชายหกบอกว่า ไม่ใช่สัตว์ที่พวกเขายิงได้ พวกเขา...จึงไม่ต้องการ”จักรพรรดิเหวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามทหารองครักษ์หลายคนอย่างฉุนเฉียว “เป็นเพราะเจ้าหกไม่ต้องการนำกลับมา หรือเป็นเพราะชายาองค์ชายหกไม่ยอมให้เขาเอากลับมา”เมื่อเผชิญกับคำถามของจักรพรรดิเหวิน ทั้งหมดลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นว่า“ทั้งองค์ชายหกและพระชายาองค์ชายหกต่างก็ไม่ต้องการเอามาพ่ะย่ะค่ะ”“พระชายาองค์ชายหกยังกล่าวชมเชยองค์ชายหกด้วย ว่าถึงแม้...แม้จะยิงธนูไม่เก่ง แต่ก็ยังมี...ความทระนง”“ใช่...”คนเหล่านี้ค่อนข้างเฉลียวฉลาดดีทีเดียวในเวลานี้ยังรู้จักรักษาเกียรติของเสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา เสิ่นลั่วเยี่ยนกลับแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเห็นอยู่ชัดๆ ว่าหยุนเจิงเป็นผู้ที่ใช้อำนาจขัดขวางไม่ให้พวกเขานำสัตว์ที่ล่าได้กลับมาตอ
แม้ว่าหลังจากเรื่องนี้จบลงแล้ว รอยร้าวภายในตระกูลซู ก็ไม่อาจสมานคืนดังเดิม“องค์ชาย ช่างเป็นยอดคนจริงๆ ข้าน้อย…ขอคารวะ!”ซูเฮ่อเหนียนพยายามระงับเพลิงโทสะในใจ ดวงตาที่มองไปยังหยุนเจิงเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม“อย่าพูดจาไร้สาระ!”หยุนเจิงไม่คิดจะเสียเวลาถกเถียงกับซูเฮ่อเหนียน “ข้าก็มอบโอกาสให้เจ้าแล้วไม่ใช่รึ? เชิญแสดงอำนาจของเจ้าผู้เป็นหัวหน้าตระกูลให้เต็มที่เถอะ!”ใบหน้าของซูเฮ่อเหนียนกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ข้าน้อย…ไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น”เขารู้ความหมายของหยุนเจิงดีหยุนเจิงกำลังประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่า ตระกูลซูจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าหยุนเจิงที่เป็นผู้ครองแคว้นจิ้งเป่ยไม่ได้!ไม่ว่าตระกูลซูจะเก่งกล้าสักแค่ไหน ตราบใดที่หยุนเจิงยังอยู่ ตระกูลซูก็ไม่อาจก่อพายุขึ้นมาได้แม้เขาจะไม่อยากยอมรับความจริงนี้ แต่ความจริงก็คือความจริง“ให้โอกาสเจ้า แต่เจ้าไม่รับ!”หยุนเจิงแค่นเสียงเย็นชา ก่อนสะบัดแขนเสื้อ “พาตัวไป!”ภายใต้การแทรกแซงอย่างแข็งกร้าวของหยุนเจิง การวิวาทครั้งนี้ก็ถูกระงับลงโดยสมบูรณ์เมื่อหยุนเจิงนำตัวซูเฮ่อเหนียนและพรรคพวกไปยั
เมื่อเสิ่นควานรับบัญชาออกไปแล้ว เมี่ยวอินก็เอ่ยถามหยุนเจิงอีกครั้งว่า “แล้วคนพวกนี้จะทำเช่นไร?”ขณะกล่าว นางหันไปมองกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น“คุมขังทั้งหมด!”หยุนเจิงกล่าวเสียงดัง ดวงเนตรเย็นชา “ให้ครอบครัวพวกมันนำเงินมาไถ่ตัว! แต่ละคนต้องจ่ายค่าปรับหนึ่งร้อยตำลึงเงินให้ทางการ!”หนึ่งร้อยตำลึงเงิน?เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันทีคนที่เข้าร่วมการวิวาทเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาอย่าว่าแต่ค่าปรับหนึ่งร้อยตำลึงเลย แม้แต่สิบตำลึง พวกเขาก็แทบไม่มีปัญญาจ่าย“ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ขอองค์ชายโปรดเมตตา…”“ข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้ว…”“ข้าน้อยไม่มีเงินมากถึงเพียงนั้น!”“ข้าน้อยยังต้องเลี้ยงดูพ่อแม่และลูก ขอองค์ชายเมตตาด้วยเถิด…”ในพริบตา เสียงร้องขอความเมตตาพลันดังระงมไปทั่วเสียงสะอื้นโศกดังขึ้นเป็นระลอกบางคนที่ถูกทำร้ายจนศีรษะแตกเลือดอาบยังไม่ร้องไห้ ตอนนี้กลับร่ำไห้โฮออกมาบางคนถึงกับโขกศีรษะลงกับพื้นไม่หยุด สีหน้ารู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด“แม้แต่เงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึงยังหาไม่ได้ พวกเจ้ายังมีเวลามาก่อเรื่องวิวาทกันอีก?”หยุนเจิงตวาดก้อง ใ
แต่เดิมพวกเขาคิดว่ากฎหมายไม่อาจลงโทษหมู่ชนได้คาดไม่ถึงเลยว่า คนพวกนี้จะกล้าฆ่าคนจริงๆ!แม้กลุ่มคนก่อความวุ่นวายเหล่านี้จะส่วนใหญ่แซ่ซู แต่แท้จริงแล้วล้วนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา พวกเขาต่างอาศัยความกล้าจากการรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่จึงทำเช่นนี้ได้ศีรษะมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้านี้ ทำให้คนจำนวนมากที่กำลังฮึกเหิมต้องเยือกเย็นลงโดยฉับพลันความหวาดกลัวที่ไม่อาจอธิบายแผ่ซ่านไปทั่วอย่างรวดเร็ว“ปัง…”ชายผู้หนึ่งปล่อยไม้ในมือร่วงลงกับพื้น ก่อนจะคุกเข่าลงอย่างลนลาน “ข้าน้อยถวายบังคมองค์ชาย!”เมื่อชายผู้นั้นคุกเข่าลง คนอื่นๆ ก็ได้สติกลับคืนมาในที่สุดใช่แล้ว!นี่คือองค์ชายเชียวนะ!ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เพียงแต่กระทำการอุกอาจ ยังคิดจะล้อมองค์ชายและเหล่าผู้ติดตามของพระองค์อีกด้วย?ไม่นาน ผู้คนต่างรีบโยนอาวุธยุ่งเหยิงในมือทิ้งไปอย่างลนลาน ถอยร่นออกไปด้านข้างและคุกเข่าลงเว้นช่องทางตรงกลางหลายคนก้มหน้าจนติดกับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาพวกเขาต่างไม่เข้าใจว่า ก่อนหน้านี้ตนไปหาความกล้ามาจากที่ใด ถึงได้คิดหาญกล้าล้อมองค์ชายเช่นนี้ต้องเป็นเพราะสมองตนชะงักงันแน่ๆ!เพียงพริบตา ผู้ที่ร่วมก่อ
เมื่อหยุนเจิงนำกองทหารองครักษ์ มาถึงทางตอนใต้ของเมืองที่เกิดการต่อสู้ ก็ได้ยินเสียงความวุ่นวายดังมาแต่ไกลหยุนเจิงขมวดคิ้ว เสิ่นควานนำกองกำลังห้าร้อยนายไปปราบปรามแล้ว ทำไมถึงยังควบคุมสถานการณ์ไม่ได้?“ทูลองค์ชาย ผู้บัญชาการเสิ่นและทหารของเราถูกพวกก่อจลาจลล้อมไว้!”ขณะที่หยุนเจิงกำลังสงสัย ก็มีกองทหารองครักษ์นายหนึ่งรีบร้อนมารายงาน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก“ว่าอย่างไรนะ?”ใบหน้าของหยุนเจิงพลันมืดครึ้มลงทันที ก่อนตะโกนเสียงเข้ม “ออกคำสั่งไป! ทุกคนติดตามข้าไปปราบปรามกบฏ! ใครกล้าขัดขวาง…ฆ่ามันซะ!”ขณะนั้นเอง ไอสังหารที่เกิดจากการต่อสู้ในสนามรบของหยุนเจิงก็พลันแผ่กระจายออกมาเขาไม่เชื่อว่าเสิ่นควานที่นำกองกำลังห้าร้อยนายซึ่งสวมเกราะครบมือ จะถูกแค่พวกชาวบ้านธรรมดาล้อมไว้ได้แน่นอนว่าเสิ่นควานเองคงไม่อยากฆ่าผู้คนโดยไม่จำเป็นแต่พวกที่ก่อจลาจลกลับเห็นความเมตตาของเขาเป็นความอ่อนแอ!เมื่อหยุนเจิงออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด ดวงตาของกองทหารองครักษ์ทุกนายก็พลันแข็งกร้าวขึ้นมาทันที!ไม่นาน หยุนเจิงก็นำทหารไปถึงจุดเกิดเหตุที่นั่น ถูกผู้คนล้อมไว้แน่นหนา หากมองเพียงคร่าวๆ ก็น่าจะมีไม
“ขอ…ขอรับ!”โหวซื่อไครีบตอบรับทันทีไปซั่วเป่ยยังจะดีกว่าอยู่ที่นี่เสียอีกอยู่ในจวนอ๋องทุกวันเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกอึดอัดใจหากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้หยุนเจิงขอให้เขาอยู่ เขาคงไปซั่วเป่ยนานแล้วเขายังมีธุรกิจวุ่นวายอีกมากมายที่ต้องจัดการที่ซั่วเป่ยเมื่อโหวซื่อไคออกเดินทางไปแล้ว หยุนเจิงก็เริ่มเตรียมตัวออกเดินทางเช่นกันหลังจากสั่งความบางประการ หยุนเจิงนำเมี่ยวอินและกองทหารองครักษ์รีบเดินทางออกไปสองวันต่อมา พวกเขาเดินทางมาถึงเมื่อหยุนเจิงมองเห็นเขตจวีผิงจากระยะไกล กองทหารองครักษ์ที่ถูกส่งไปสืบข่าวก็กลับมารายงานทันที “เรียนฝ่าบาท! ประตูเมืองจวีผิงปิดสนิท กลางเมืองดูเหมือนจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น”หืม?กลางวันแสกๆ ประตูเมืองปิด?ยังมีความวุ่นวายในเมืองอีก?ตระกูลซูกำลังทำอะไรกันแน่?หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนออกคำสั่งเสียงเย็นชา “สั่งกองกำลังจวีผิง เปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้! หากปฏิเสธ ถือเป็นกบฏ!”“รับบัญชา!”กองทหารองครักษ์รีบไปดำเนินการทันที“ไปกันเถอะ พวกเราเข้าไปดูกัน!”หยุนเจิงหันไปเรียกเมี่ยวอิน ก่อนจะควบม้าไปยังจวีผิงทันทีไม่ช้า หยุนเจิงมาถึงเมืองตัวเมืองจวีผิ
ความวุ่นวายในตระกูลซูยังคงดำเนินไปตั้งแต่เที่ยงจนถึงย่ำค่ำบ้านของซูเฮ่อเหนียนถูกล้อมแน่นหนาไม่มีทางหนีกลุ่มคนที่นำโดยซูซ่งฝู่ต่างเรียกร้องให้ซูฮ๋วยหมินส่งมอบ วิธีผลิตน้ำตาลขาวออกมาแต่ซูฮ๋วยหมินจะเอามาจากไหนเล่า!เขาเองก็เป็นฝ่ายที่ถูกหลอก ต่อให้คว้านหัวออกมาก็ไม่มีอะไรให้ส่งมอบ!ซูฮ๋วยหมินยังคงยืนยันว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการของหยุนเจิง แต่ไม่มีใครเชื่อเขาอีกต่อไปทุกคนต่างมั่นใจว่าซูฮ๋วยหมินคิดจะกอบโกยผลประโยชน์ไว้คนเดียวเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ซูฮ๋วยหมินรู้สึกสิ้นหวังจนแทบอยากตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนขณะที่ความขัดแย้งกำลังรุนแรงขึ้น คนที่ถูกส่งไปทวงหนี้จากตระกูลโหวก็กลับมารายงานข่าวคนของตระกูลโหวบอกว่าโหวซื่อไค ได้นำเงินทั้งหมดของตระกูลหนีไปทางใต้แล้ว หนี้ที่โหวซื่อไคเป็นคนก่อขึ้น พวกเขาไม่มีปัญญาชดใช้ให้อย่างไรก็ตาม ตระกูลโหวยอมรับหนี้และสัญญาว่า เมื่อโหวซื่อไคกลับมา ตระกูลโหวจะให้เขาชดใช้คืนทันที“เห็นหรือไม่! โหวซื่อไคหนีไปทางใต้เพื่อตักตวงผลประโยชน์แล้ว!”ซูซ่งฝู่มองซูฮ๋วยหมินด้วยสายตาเดือดดาล “เจ้าจะยังกล้าพูดอีกหรือไม่ว่าเจ้าไม่รู้วิธีผลิตน้ำตาลข
“ถูกต้อง! หากเจ้าไม่มีอะไรปิดบัง ก็ให้ข้าตรวจสอบคลังสินค้า!”ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเอ่ยเสริมขึ้นมา“ให้พวกเราตรวจสอบคลังสินค้า!”“ต้องตรวจสอบคลังสินค้า!”“เจ้าบริสุทธิ์หรือไม่ เพียงตรวจสอบก็รู้ได้!”“หากเจ้าไม่ให้ตรวจ นั่นแสดงว่ามีบางสิ่งที่เจ้าปิดบัง!”“ถูกต้อง…”ในชั่วพริบตา ผู้คนต่างส่งเสียงขึ้นพร้อมกันทุกสายตาต่างมุ่งเป้าไปยังซูฮ๋วยหมินวันนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องตรวจสอบคลังสินค้าให้ได้ ต่อให้ใครมาก็ขัดขวางไม่ได้!พวกเขาจะปล่อยให้เงินของพวกตนถูกโกงไปโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไรกัน!เมื่อเห็นฝูงชนที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ซูเฮ่อเหนียนถึงกับตัวสั่นด้วยความโมโห “ได้! ข้ายอมให้เจ้าตรวจ! แต่หากวันนี้เจ้าตรวจแล้วไม่พบอะไร เจ้าต้องให้คำอธิบายกับข้า!”“ได้!”เหล่าผู้อาวุโสทั้งหกต่างตอบรับพร้อมกันซูฮ๋วยหมินเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเขาค่อยๆ ตระหนักว่านี่อาจเป็นกับดักซ้อนแผนบางที… หยุนเจิงอาจให้ยอดฝีมือแอบลอบนำ น้ำตาลขาว ไปใส่ไว้ในคลังสินค้าของเขา!นี่คงเป็นแผนที่ต้องการเร่งให้เกิดความขัดแย้งภายในตระกูลซู เพื่อทำให้พวกเขาแตกแยกกัน!แต่ตอนนี้ทุกคนก็ล้อมรอบหมดแล้วหากไม่ยอมเปิด
เมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอก บรรยากาศทั่วทั้งตระกูลซูเต็มไปด้วยความเศร้าหมองตระกูลซูรีบส่งคนเดินทางไปยังตระกูลโหวที่เมืองมู่โจวแม้ว่าจะไม่สามารถเอาเรื่องตระกูลโหวได้โดยตรง แต่พวกเขาก็ต้องให้ตระกูลโหวช่วยชดใช้เงินสองแสนตำลึงที่โหวซื่อไคติดหนี้ไว้!หากสามารถเอาเงินสองแสนตำลึงคืนมาได้ แล้วขายทรัพย์สินบางส่วนเพิ่มเติม ธุรกิจของตระกูลซูก็ยังพอไปต่อได้ และอาจจะสามารถประคองสถานการณ์เอาไว้ได้ตอนนี้ เงินสองแสนตำลึงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตระกูลซูขณะที่ทุกคนกำลังรอข่าวจากกลุ่มที่ไปทวงหนี้ ซูซ่งฝู่ก็นั่งเคร่งเครียดอยู่ที่บ้าน ทันใดนั้น พ่อบ้านของเขาก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา ก่อนจะกระซิบข้างหูซูซ่งฝู่เบาๆ“อะไรนะ?”ซูซ่งฝู่หน้าเปลี่ยนสีทันที “เจ้ามั่นใจหรือ?”พ่อบ้านส่ายหัวเร็วๆ “ข้าไม่อาจมั่นใจได้ เรื่องนี้ข้าได้ยินมาจากคนอื่นอีกที! ว่ากันว่า… พ่อบ้านของซูเฮ่อเหนียนพูดหลุดปากออกมาโดยไม่ตั้งใจ…”เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อบ้าน ซูซ่งฝู่ก็จมดิ่งสู่ความคิดของตนเองเขาเคยได้ยินจากหลานชายมาก่อนแล้วตอนที่ผางลู่ซานสอนวิธีผลิตน้ำตาลขาว มีเพียงซูฮ๋วยหมินและโหวซื่อไคอยู่ข้างในคนอื่นทั้งหมด ถูกกันออกไปด้าน
มันต้องเป็นเช่นนี้แน่!น้ำซาวข้าวงั้นหรือ? น้ำส้มสายชูข้าวงั้นหรือ? ทั้งหมดเป็นแค่กลลวง!ตั้งแต่ต้น ผางลู่ซานใช้น้ำตาลขาวทำให้น้ำตาลขาวอีกที!มันไม่เคยใช้น้ำตาลอ้อยทำน้ำตาลขาวเลย!ที่ผางลู่ซานทำให้สถานการณ์ดูเร่งรีบ ก็เพื่อบีบบังคับให้พวกเขารีบออกจากซั่วเป่ยโดยไม่ทันคิดอะไรส่วนโหวซื่อไคที่สั่งให้ฝังน้ำตาลอ้อยที่เหลือทั้งหมด ก็เพราะมันกลัวว่าพวกเขาจะลองทำจริงระหว่างเดินทาง และจับได้ว่าเป็นแผนหลอกลวง!ทั้งหมดนี้ เป็นแผนที่ถูกออกแบบมาอย่างรอบคอบ!และเบื้องหลังแผนนี้ ต้องเป็นหยุนเจิง!นี่คือการแก้แค้นของหยุนเจิงต่อพวกเขา!หยุนเจิงต้องการทำลายตระกูลซูด้วยวิธีนี้!เมื่อได้ฟังซูฮ๋วยหมินพูด ทุกคนรู้สึกเหมือนสมองถูกฟาดเข้าอย่างแรงจนดังวิ้งๆ!พวกเขาถูกหลอก!พวกเขาถูกผางลู่ซานและโหวซื่อไคร่วมมือกันหลอก!ผู้อาวุโสสองคนที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้วถึงกับล้มลงไปด้านหลังทันที!เงินหนึ่งล้านสองแสนตำลึง…ถูกหลอกไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้!?ไม่!ไม่ใช่แค่หนึ่งล้านสองแสนตำลึง แต่เป็น หนึ่งล้านสี่แสนตำลึง!หากสิ่งที่ซูฮ๋วยหมินพูดเป็นความจริง โหวซื่อไคย่อมไม่มีทางคืนเงินที่ยืมไป!เวลานี้