คำพูดของหยุนเจิงทำให้จางซูค้นพบเป้าหมายของตัวเองได้สำเร็จทัศนคติที่จางซูมีต่อหยุนเจิงได้เปลี่ยนไปทันที เขากระตือรือร้นเป็นอย่างมากทัศนคติของจางซูก่อนหน้านี้กับตอนนี้เปลี่ยนไปมากจนหยุนเจิงไม่ทันตั้งตัวในตอนกลางวัน จางซูพยายามลากหยุนเจิงไปที่หอสุราที่ดีที่สุดในเมืองหลวงอย่างเอาจริงเอาจังเขาต้องทำดีกับคนรู้ใจคนนี้ให้มากๆ“องค์ชาย ผ่านมานานหลายปีแล้ว ในที่สุดข้าก็เจอคนที่เข้าใจข้าจริงๆ สักที!”“องค์ชาย ไม่รู้หรอกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าต้องเจอกับอันใดบ้างแล้วข้าผ่านมันมาได้อย่างไร!”“เป็นเพราะว่าข้าไม่รู้วิชา ไม่เก่งในเรื่องแต่งบทกวี ไม่ว่าข้าทำอะไรมันก็ผิดไปเสียหมด”ภายในหอสุรา จางซูร่ำสุราพลางพร่ำครวญระบายทุกข์ในใจกับหยุนเจิงเมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ ดวงตาของจางซูก็แดงก่ำขึ้นแต่หยุนเจิงกลับเข้าใจความรู้สึกของจางซูท่านปู่ของเขาเป็นผู้รอบรู้วิชา อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิเหวินอีกด้วยการเติบโตมาในครอบครัวเช่นนี้ หากไม่รู้วิชา นั่นนับว่าเป็นความผิดอันใหญ่หลวงแล้วจางซูยกซดสุราเข้าไปอึกใหญ่ ก่อนจะกล่าวอีกว่า “ข้าจะไม่ปิดบังองค์ชาย วันที่สิบห้าของทุกๆ เดือน ข้าไ
“ข้าตัดสินใจแล้ว อีกสองวันงานสมาคม ข้าจะไปเข้าร่วม!”“ข้าจะเรียกหญิงงามสิบกว่าคนมาปรนนิบัติข้า ข้าจะนั่งเสพสุขเหมือนนายท่านผู้มั่งคั่งคนอื่นๆ ให้ไอ้พวกสุนัขเหล่านั้นอิจฉาเล่นๆ ฮ่าๆๆ!”“องค์ชายช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ผู้มีความสามารถอย่างท่านอ๋องหาได้ยากยิ่งนัก…”จางซูตื่นเต้นจนแทบจะเต้นแร้งเต้นกาแล้ว กล่าวชื่นชมหยุนเจิงยกใหญ่หยุนเจิงได้ยินคำชื่นชมของเขา แต่สีหน้าของเขากลับดำคล้ำขึ้นเจ้านี่คงจะไม่ทำจริงๆ กระมัง!หากจางเก๋อเหล่ารู้ว่าตนเป็นคนแนะนำให้จางซุทำเช่นนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจางเก๋อเหล่าจะฆ่าตัวตายในจวนองค์ชายหกหรือไม่“ค่อกๆๆ…”หยุนเจิงส่งเสียงไอกระแอมเพื่อตัดบทการตื่นเต้นของจางซู “เราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องสมาคมกวีเลย เรามาพูดเรื่องสำคัญของเราจะดีกว่า!”“เรื่องสำคัญอย่างนั้นหรือ?”จางซูสงสัย เขาจึงพูดโพล่งออกมาว่า “เรามาดื่มสนุกๆ กัน ยังจะมีเรื่องสำคัญอันใดคุยอีกหรือ?”“ข้า…”หยุนเจิงสะดุ้งเล็กน้อยเจ้าบ้าเอ้ย!อยู่ด้วยกัน พวกเขาในฐานที่เป็นคนไร้ประโยชน์ทั้งสองแห่งเมืองหลวง พอมาอยู่ด้วยกันแล้วจะทำแต่เรื่องไร้สาระเช่นนี้นะหรือจางซูสังเกตเห็นสายตาที่ผิดปกติไปข
น้ำมันพริกหรือ!หยุนถิงสับสนมึนงง ไม่รู้ว่ามันเป็นของเล่นบ้าอันใดอีก“น้ำมันบ้าบออะไรของเจ้า!”หยุนถิงทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูก มองหยุนเจิงด้วยสีหน้าตักเตือน “ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าทำคุณงามความดีเอาไว้มาก และเจ้าก็ได้รับความโปรดปรานเต็มอย่างล้มหลาม! แต่ทางที่ดีเจ้าก็ควรอยู่ในที่ของตัวเอง ตอนนี้เจ้าอาจจะลำพองใจอยู่ก็ไม่เป็นไร รอให้เสด็จพ่อกลับไปเป็นเหมือนเดิมตอนที่เสด็จพ่อลืมเจ้าไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตาก่อนเถอะ เหอะๆ…”คำพูดตอนหลังหยุนเจิงไม่ได้กล่าวออกมาแต่ความหมายมันก็ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว“พี่สี่ สับสนไปแล้วหรือไร?”หยุนเจิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตรงหน้าหยุนถิง จ้องมองหยุนถิง มองจนหยุนถิงเองรู้สึกขนลุกซู่อย่างประหลาด“เจ้าจะทำอะไร อยู่ห่างๆ ข้าหน่อย!”หยุนถิงตะคอกด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก“เฮ้อ ข้าอยากจำรอยยิ้มและหน้าตาอันสดใสของพี่สี่มากกว่า!”หยุนเจิงขมวดคิ้วและถอนหายใจ“รอยยิ้มและหน้าตาอันสดใสอย่างนั้นหรือ?”เส้นเลือดบนหน้าผากหยุนถิงกระตุก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทำไม เจ้าอยากจะเอาให้ข้าตายเลยหรือ?”อยากจำรอยยิ้มและหน้าตาอันสดใสคำนี้ส่วนมากใช้กับคนตายเจ้าสุนั
ขณะพูด หยุนถิงโบกมือเรียกคนสองสามคนให้ไปอีกฝั่งหนึ่งเขารู้สึกอับอายที่ต้องกินข้าวกับเศษสวะสองคนนี้!หากเจ้าหกพูดอะไรทำนองว่าให้จดจำเสียงและรอยยิ้มของเขาไว้ เขาล้วนรู้สึกหวาดผวา!ทันทีที่พวกเขานั่งลง ก็เอ่ยถามหยุนถิงด้วยอยากรู้อยากเห็น“องค์ชายสี่ ฝ่าบาททรงมีราชโองการให้องค์ชายหกไปที่ซั่วเป่ยจริงๆ หรือ”“ซั่วเป่ยกำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หากองค์ชายหกไปที่นั่น มิใช่รนหาที่ตายหรือ”“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายหกทำให้ราชครูของเป่ยหวนโกรธจนอาเจียนเป็นเลือด หากองค์ชายหกไปที่ซั่วเป่ย เป่ยหวนคงทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตองค์ชายหกเป็นแน่...”พวกเขารู้สึกประหลาดใจ จึงพูดคุยกันไม่หยุดแม้ว่าเสียงของพวกเขาจะไม่ถือว่าดัง แต่คนรอบข้างได้ยินพวกเขาชัดเจนทันใดนั้น ผู้คนก็เริ่มพูดถึงเรื่องนี้กันมากขึ้นมุมปากของหยุนเจิงโค้งขึ้น หัวเราะลั่นในใจนี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ!ยืมปากของคนเหล่านี้ กระจายข่าวออกไป!ต้องการใช้ความคิดเห็นของปวงชนบีบบังคับให้จักรพรรดิเหวินจำใจต้องปล่อยเขาไปที่ซั่วเป่ย!“องค์ชายหก ท่านจะไปซั่วเป่ยจริงๆ หรือ”ยามนี้ จางซูเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ“อืม นี่คือพร
“โอ้โห คุณชายจาง วันนี้ลมอะไรพัดท่านมาที่นี่กันล่ะนี่”“ไม่พบเจอท่านตั้งหลายวัน แม่นางของพวกเราคิดถึงท่านจนกินข้าวไม่ลงแล้ว!”“ท่านลองดูว่าวันนี้จะเรียกหงเยว่หรืออวี้เซียงมาปรนนิบัติ?”พวกเขาเพิ่งจะถึงปากประตูฉวินฟางย่วน ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแม่เล้าเลยทันทีดูก็รู้เลยว่าจางซูนั้นเป็นแขกประจำจางซู?คนผู้นี้หากจะเที่ยวเล่นเช่นนี้ต่อไป ได้เป็นจางซูบแน่!“แค่คนสองคนจะไปพอได้อย่างไร?”จางซูจ้องแม่เล้าตาโต โบกมืออย่างวางอำนาจ “เรียกหญิงสาวมาให้ข้าสิบคนก่อนเถอะ!”“หา?”แม่เล้าตะลึงค้าง พอเห็นว่าพวกจางซูทั้งหมดมีสี่คนพอดี ก็ได้สติกลับมาทันที รอยยิ้มเต็มใบหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้เลย ไม่มีปัญหา ข้าจะไปตามแม่นางให้พวกท่านสี่คน...”“ข้าบอกแล้วไงว่าสิบคน!”จางซูชูนิ้วทั้งสิบขึ้นกางออก “แล้วก็จัดให้สหายคนนี้ของข้าด้วยอีกสิบคน!”“…”หยุนเจิงพอได้ยิน แทบจะกระโดดถีบเลยทันทีเจ้านี่หนิ จะเรียกมาสิบคนจริงๆ รึ?คิดว่าตนเองเป็นหยิบหมั่นหรือไง“ข้าก็ไม่ต้องแล้ว”หยุนเจิงตีมือปัด แล้วกล่าวเสีนงทุ้มต่ำเพื่อห้ามปราม “เจ้าก็เพลาๆ หน่อยเถอะ” “ไม่ได้ ไม่ได้!” จางซูสูดจมูก ตอบกลับเสียง
หยุนเจิงอ้ำอึ้งให้นางคณิกาชั้นสูงมาตัดสินคุณภาพของบทกวี?นี่มันทำตามอำเภอใจมากเกินไปแล้วกระมัง?จางซูมองเห็นถึงความรู้สึกสงสัยของหยุนเจิงจึงอธิบายให้เขาทันทีถึงแม้เมี่ยวอินคนนี้จะเป็นนางคณิกาในหอนางโลม แต่นางกลับขายศิลป์ไม่ขายตัวเมี่ยวอินไม่เพียงแต่งามดุจเทพเซียนเท่านั้น แต่นางยังมีความสามารถทั้งร้องรำ ดีดฉินเล่นหมากรุก เขียนหนังสือวาดภาพ หรือแม้แต่ประพันธ์บทกวีและบทเพลง นางก็ล้วนเชี่ยวชาญทุกด้าน เป็นหญิงงามที่มากความสามารถคนหนึ่งด้วยเหตุนี้ เมี่ยวอินถึงได้มีเหล่าผู้มีความรู้มากมายคอยติดตามถึงแม้ว่านางจะขายศิลป์ไม่ขายตัว แต่ก็มีคนมากมายที่สามารถเป็นหนึ่งในผู้โชคดีของนางได้เช่นกันในงานประพันธ์บทกวีทุกครั้งล้วนแต่มีเมี่ยวอินเป็นคนออกหัวข้อให้ฝูงชนประพันธ์กวีเรื่องประพันธ์บทกวีและบทเพลงนั้น จะดีหรือแย่ แท้จริงแล้วฝูงชนต่างก็ตัดสินอยู่ในใจไม่มากก็น้อย แม้นว่าเมี่ยวอินจะเป็นคนสุดท้ายที่ตัดสินว่าบทกวีไหนดีที่สุดก็ตาม แต่ฝูงชนต่างก็คอยตัดสินอยู่แล้วเมื่อฟังคำอธิบายของจางซูเสร็จ หยุนเจิงพลันตะลึงใจอย่างอดไม่ได้เมี่ยวอินคนนี้เป็นนักแสดงหญิงอันดับต้นของราชวงศ์ต้าเฉียนนั้นหรือ
“นี่แหละเมี่ยวอิน!”จางซูพรวดตัวลุกนั่งอย่างตื่นเต้นราวกับฉีดเลือดไก่มาปานนั้น แล้วมองเมี่ยวอินไม่ละสายตาดูท่าแล้ว จางซูเองก็เป็นหนุ่มผู้คลั่งไคล้เมี่ยวอินเหมือนกันนะเนี่ย!นี่แหละเมี่ยวอิน?หยุนเจิงขมวดคิ้ว “เจ้าบอกว่านางงามดุจเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ไม่ใช่หรือ? ขนาดนางใช้ผ้าโปร่งคลุมหน้าไว้ เจ้ายังสามารถมองเห็นโฉมหน้าของนางได้รึ?”“แน่นอนว่าไม่เห็นอยู่แล้ว!”จางซูกล่าวตรงไปตรงมา“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางงามดุจเทพเซียน?”หยุนเจิงมึนงง“ฟังจากคนอื่นมาไงเล่า!”จางซูหรี่ตามองเรือนร่างของเมี่ยวอินไม่หยุด “เหล่าผู้โชคดีที่เคยได้เป็นแขกของนางต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่านางงามจนใจเจ็บ แม้แต่เทพเซียนบนสวรรค์ก็ยังเทียบไม่ติด…”ให้ตาย!เขาคิดจริงว่าเมี่ยวอินคนนี้งามจริงงามจัง!คาดว่าคงจะได้ฟังจากผู้อื่นทั้งนั้น!เมี่ยวอินคนนี้สร้างกระแสลับๆ นี่!ขณะที่หยุนเจิงกำลังพูดแซะอย่างบ้าคลั่งอยู่นั้น เมี่ยวอินก็ได้เอ่ยปากขึ้นคำกล่าวเปิดงานไม่มีอะไรมากไปกว่ากล่าวขอบคุณทุกท่านที่มาสนับสนุนโฉมหน้าของเมี่ยวอินเป็นอย่างไรนั้น ตอนนี้หยุนเจิงเองก็ไม่รู้เช่นกันแต่ทว่า เสียงของสตรีผู้นี
ตามด้วยคำพูดเสียงเบาของหยุนเจิง ดวงตาของจางซูพลันเปล่งประกายขึ้นมาทันใด“นี่เป็นกวีที่ท่านประพันธ์เองนั้นหรือ?”จางซูมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าตะลึงตกใจ“พูดเป็นเล่น!”หยุนเจิงเอ่ยเสียงเบา “เป็นกวีของพี่สะใภ้รองของเสิ่นลั่วเยี่ยน ข้าลอกมา”“เช่นนี้นี่เอง!”จางซูนึกขึ้นได้กะทันหัน “ข้าก็ว่า เราสองคนต่างก็เป็นพวกไร้ประโยชน์…”จางซูเอ่ยได้ครึ่งประโยค พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ทันทีจึงเปลี่ยนคำพูดว่า “ข้าหมายถึง ความรู้ของเราทั้งสองไม่ต่างกันเท่าไรนัก แหะๆ…”“เอาล่ะๆ!”หยุนเจิงโบกมือ “รีบจำซะ แล้วทำให้คนพวกนี้อึ้งจนอ้าปากค้าง!”จางซูพยักหน้าแรงๆ กำลังจะเริ่มจดบทกวี ทว่าใบหน้ากลับแข็งทื่อ ทำได้เพียงขยับเข้าไปอีกครั้งอย่างหน้าด้านๆ แล้วเอ่ยอย่างเขินอายว่า “องค์ชายหก ท่านช่วยพูดอีกครั้งได้หรือไม่ ข้า…ข้าลืมแล้ว…”“ข้า…”หยุนเจิงถอนใจ หมดคำจะพูดชั่วขณะเจ้านี่ไม่ได้เกิดมาเพื่อร่ำเรียนหาความรู้เลยจริงๆ!เพิ่งจะบอกไปหยกๆ แต่เขากลับลืมไปแล้ว?หยุนเจิงหมดหนทาง ทำได้เพียงกระซิบบอกเขาอีกครั้งขณะที่ทั้งสองกำลังกระซุบกระซิบกันอยู่นั้น ข้างล่างก็มีคนเริ่มประพันธ์บทกวีแล้วเพียงแต่บทกวีที่คนผู้
“ขอ…ขอรับ!”โหวซื่อไครีบตอบรับทันทีไปซั่วเป่ยยังจะดีกว่าอยู่ที่นี่เสียอีกอยู่ในจวนอ๋องทุกวันเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกอึดอัดใจหากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้หยุนเจิงขอให้เขาอยู่ เขาคงไปซั่วเป่ยนานแล้วเขายังมีธุรกิจวุ่นวายอีกมากมายที่ต้องจัดการที่ซั่วเป่ยเมื่อโหวซื่อไคออกเดินทางไปแล้ว หยุนเจิงก็เริ่มเตรียมตัวออกเดินทางเช่นกันหลังจากสั่งความบางประการ หยุนเจิงนำเมี่ยวอินและกองทหารองครักษ์รีบเดินทางออกไปสองวันต่อมา พวกเขาเดินทางมาถึงเมื่อหยุนเจิงมองเห็นเขตจวีผิงจากระยะไกล กองทหารองครักษ์ที่ถูกส่งไปสืบข่าวก็กลับมารายงานทันที “เรียนฝ่าบาท! ประตูเมืองจวีผิงปิดสนิท กลางเมืองดูเหมือนจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น”หืม?กลางวันแสกๆ ประตูเมืองปิด?ยังมีความวุ่นวายในเมืองอีก?ตระกูลซูกำลังทำอะไรกันแน่?หยุนเจิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนออกคำสั่งเสียงเย็นชา “สั่งกองกำลังจวีผิง เปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้! หากปฏิเสธ ถือเป็นกบฏ!”“รับบัญชา!”กองทหารองครักษ์รีบไปดำเนินการทันที“ไปกันเถอะ พวกเราเข้าไปดูกัน!”หยุนเจิงหันไปเรียกเมี่ยวอิน ก่อนจะควบม้าไปยังจวีผิงทันทีไม่ช้า หยุนเจิงมาถึงเมืองตัวเมืองจวีผิ
ความวุ่นวายในตระกูลซูยังคงดำเนินไปตั้งแต่เที่ยงจนถึงย่ำค่ำบ้านของซูเฮ่อเหนียนถูกล้อมแน่นหนาไม่มีทางหนีกลุ่มคนที่นำโดยซูซ่งฝู่ต่างเรียกร้องให้ซูฮ๋วยหมินส่งมอบ วิธีผลิตน้ำตาลขาวออกมาแต่ซูฮ๋วยหมินจะเอามาจากไหนเล่า!เขาเองก็เป็นฝ่ายที่ถูกหลอก ต่อให้คว้านหัวออกมาก็ไม่มีอะไรให้ส่งมอบ!ซูฮ๋วยหมินยังคงยืนยันว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการของหยุนเจิง แต่ไม่มีใครเชื่อเขาอีกต่อไปทุกคนต่างมั่นใจว่าซูฮ๋วยหมินคิดจะกอบโกยผลประโยชน์ไว้คนเดียวเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ซูฮ๋วยหมินรู้สึกสิ้นหวังจนแทบอยากตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนขณะที่ความขัดแย้งกำลังรุนแรงขึ้น คนที่ถูกส่งไปทวงหนี้จากตระกูลโหวก็กลับมารายงานข่าวคนของตระกูลโหวบอกว่าโหวซื่อไค ได้นำเงินทั้งหมดของตระกูลหนีไปทางใต้แล้ว หนี้ที่โหวซื่อไคเป็นคนก่อขึ้น พวกเขาไม่มีปัญญาชดใช้ให้อย่างไรก็ตาม ตระกูลโหวยอมรับหนี้และสัญญาว่า เมื่อโหวซื่อไคกลับมา ตระกูลโหวจะให้เขาชดใช้คืนทันที“เห็นหรือไม่! โหวซื่อไคหนีไปทางใต้เพื่อตักตวงผลประโยชน์แล้ว!”ซูซ่งฝู่มองซูฮ๋วยหมินด้วยสายตาเดือดดาล “เจ้าจะยังกล้าพูดอีกหรือไม่ว่าเจ้าไม่รู้วิธีผลิตน้ำตาลข
“ถูกต้อง! หากเจ้าไม่มีอะไรปิดบัง ก็ให้ข้าตรวจสอบคลังสินค้า!”ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเอ่ยเสริมขึ้นมา“ให้พวกเราตรวจสอบคลังสินค้า!”“ต้องตรวจสอบคลังสินค้า!”“เจ้าบริสุทธิ์หรือไม่ เพียงตรวจสอบก็รู้ได้!”“หากเจ้าไม่ให้ตรวจ นั่นแสดงว่ามีบางสิ่งที่เจ้าปิดบัง!”“ถูกต้อง…”ในชั่วพริบตา ผู้คนต่างส่งเสียงขึ้นพร้อมกันทุกสายตาต่างมุ่งเป้าไปยังซูฮ๋วยหมินวันนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องตรวจสอบคลังสินค้าให้ได้ ต่อให้ใครมาก็ขัดขวางไม่ได้!พวกเขาจะปล่อยให้เงินของพวกตนถูกโกงไปโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไรกัน!เมื่อเห็นฝูงชนที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ซูเฮ่อเหนียนถึงกับตัวสั่นด้วยความโมโห “ได้! ข้ายอมให้เจ้าตรวจ! แต่หากวันนี้เจ้าตรวจแล้วไม่พบอะไร เจ้าต้องให้คำอธิบายกับข้า!”“ได้!”เหล่าผู้อาวุโสทั้งหกต่างตอบรับพร้อมกันซูฮ๋วยหมินเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเขาค่อยๆ ตระหนักว่านี่อาจเป็นกับดักซ้อนแผนบางที… หยุนเจิงอาจให้ยอดฝีมือแอบลอบนำ น้ำตาลขาว ไปใส่ไว้ในคลังสินค้าของเขา!นี่คงเป็นแผนที่ต้องการเร่งให้เกิดความขัดแย้งภายในตระกูลซู เพื่อทำให้พวกเขาแตกแยกกัน!แต่ตอนนี้ทุกคนก็ล้อมรอบหมดแล้วหากไม่ยอมเปิด
เมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอก บรรยากาศทั่วทั้งตระกูลซูเต็มไปด้วยความเศร้าหมองตระกูลซูรีบส่งคนเดินทางไปยังตระกูลโหวที่เมืองมู่โจวแม้ว่าจะไม่สามารถเอาเรื่องตระกูลโหวได้โดยตรง แต่พวกเขาก็ต้องให้ตระกูลโหวช่วยชดใช้เงินสองแสนตำลึงที่โหวซื่อไคติดหนี้ไว้!หากสามารถเอาเงินสองแสนตำลึงคืนมาได้ แล้วขายทรัพย์สินบางส่วนเพิ่มเติม ธุรกิจของตระกูลซูก็ยังพอไปต่อได้ และอาจจะสามารถประคองสถานการณ์เอาไว้ได้ตอนนี้ เงินสองแสนตำลึงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตระกูลซูขณะที่ทุกคนกำลังรอข่าวจากกลุ่มที่ไปทวงหนี้ ซูซ่งฝู่ก็นั่งเคร่งเครียดอยู่ที่บ้าน ทันใดนั้น พ่อบ้านของเขาก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา ก่อนจะกระซิบข้างหูซูซ่งฝู่เบาๆ“อะไรนะ?”ซูซ่งฝู่หน้าเปลี่ยนสีทันที “เจ้ามั่นใจหรือ?”พ่อบ้านส่ายหัวเร็วๆ “ข้าไม่อาจมั่นใจได้ เรื่องนี้ข้าได้ยินมาจากคนอื่นอีกที! ว่ากันว่า… พ่อบ้านของซูเฮ่อเหนียนพูดหลุดปากออกมาโดยไม่ตั้งใจ…”เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อบ้าน ซูซ่งฝู่ก็จมดิ่งสู่ความคิดของตนเองเขาเคยได้ยินจากหลานชายมาก่อนแล้วตอนที่ผางลู่ซานสอนวิธีผลิตน้ำตาลขาว มีเพียงซูฮ๋วยหมินและโหวซื่อไคอยู่ข้างในคนอื่นทั้งหมด ถูกกันออกไปด้าน
มันต้องเป็นเช่นนี้แน่!น้ำซาวข้าวงั้นหรือ? น้ำส้มสายชูข้าวงั้นหรือ? ทั้งหมดเป็นแค่กลลวง!ตั้งแต่ต้น ผางลู่ซานใช้น้ำตาลขาวทำให้น้ำตาลขาวอีกที!มันไม่เคยใช้น้ำตาลอ้อยทำน้ำตาลขาวเลย!ที่ผางลู่ซานทำให้สถานการณ์ดูเร่งรีบ ก็เพื่อบีบบังคับให้พวกเขารีบออกจากซั่วเป่ยโดยไม่ทันคิดอะไรส่วนโหวซื่อไคที่สั่งให้ฝังน้ำตาลอ้อยที่เหลือทั้งหมด ก็เพราะมันกลัวว่าพวกเขาจะลองทำจริงระหว่างเดินทาง และจับได้ว่าเป็นแผนหลอกลวง!ทั้งหมดนี้ เป็นแผนที่ถูกออกแบบมาอย่างรอบคอบ!และเบื้องหลังแผนนี้ ต้องเป็นหยุนเจิง!นี่คือการแก้แค้นของหยุนเจิงต่อพวกเขา!หยุนเจิงต้องการทำลายตระกูลซูด้วยวิธีนี้!เมื่อได้ฟังซูฮ๋วยหมินพูด ทุกคนรู้สึกเหมือนสมองถูกฟาดเข้าอย่างแรงจนดังวิ้งๆ!พวกเขาถูกหลอก!พวกเขาถูกผางลู่ซานและโหวซื่อไคร่วมมือกันหลอก!ผู้อาวุโสสองคนที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้วถึงกับล้มลงไปด้านหลังทันที!เงินหนึ่งล้านสองแสนตำลึง…ถูกหลอกไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้!?ไม่!ไม่ใช่แค่หนึ่งล้านสองแสนตำลึง แต่เป็น หนึ่งล้านสี่แสนตำลึง!หากสิ่งที่ซูฮ๋วยหมินพูดเป็นความจริง โหวซื่อไคย่อมไม่มีทางคืนเงินที่ยืมไป!เวลานี้
ตระกูลซูแห่งจวีผิงเมื่อมั่นใจว่าซูฮ๋วยหมินและพวกเรียนรู้วิธีผลิตน้ำตาลขาวได้แล้ว คนในตระกูลซูก็ต่างดีอกดีใจเปลี่ยนน้ำตาลอ้อยเป็นน้ำตาลขาวได้ มูลค่าพุ่งขึ้นไม่ใช่เล่น!เหล่าผู้อาวุโสทั้งเจ็ดของตระกูลซูรวมตัวกัน และยืนกรานให้ซูฮ๋วยหมินสาธิตวิธีเปลี่ยนน้ำตาลอ้อยเป็นน้ำตาลขาวต่อหน้าพวกเขาซูฮ๋วยหมินย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เขาสั่งให้คนเตรียมอุปกรณ์ทั้งหมดที่จำเป็น แล้วเริ่มการสาธิตทันทีครั้งนี้เป็นเพียงการทดลอง ไม่ใช่การผลิตในปริมาณมาก ซูฮ๋วยหมินทำทุกขั้นตอนตามที่ผางลู่ซานสอนมาอย่างแม่นยำแม้แต่ผ้าที่ใช้ห่อน้ำตาลอ้อยก็ยังเป็นผ้าขาวแบบเดียวกัน“ถ้าเราควบคุมวิธีทำน้ำตาลขาวจากน้ำตาลอ้อยได้ พวกเราก็จะร่ำรวยมหาศาล!”“เรื่องร่ำรวยก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่พวกเราต้องรอบคอบ!”“ใช่ น้ำตาลขาวที่ผลิตได้ควรส่งไปขายทางใต้จะดีกว่า”“เราต้องเร่งผลิตให้ได้มากๆ อย่าให้ตระกูลโหวแย่งตลาดไปก่อน…”“ถูกต้อง…”เหล่าผู้อาวุโสทั้งเจ็ดของตระกูลซูต่างวาดฝันถึงเงินตราที่จะหลั่งไหลเข้ามาในตระกูลกันอย่างตื่นเต้น สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะที่พวกเขาพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น ซูฮ๋วยหมินก็ดำเนินการตา
“ระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า!”โหวซื่อไคกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “แค่น้ำตาลอ้อยพวกนี้มีค่าเท่าไหร่กัน? หยุนเจิงเป็นคนเจ้าเล่ห์ อย่าให้ต้องแลกชีวิตแค่เพราะเงินเล็กน้อย!”“แล้วน้ำตาลขาวที่เขาให้เจ้าล่ะ? ฝังไปด้วยไหม?” ซูฮ๋วยหมินขมวดคิ้วถาม“อันนั้นยังไม่ต้องฝัง ถ้าขายได้ มันก็มากกว่าหมื่นตำลึงเงิน”โหวซื่อไคตอบ “ข้าจะหาที่ซ่อนให้ปลอดภัย รอให้สถานการณ์สงบลงก่อน แล้วค่อยหาทางขนมันออกจากซั่วเป่ย”“ก็ได้!”ซูฮ๋วยหมินไม่ได้ถามอะไรอีกไม่นาน พวกเขาก็จัดการฝังทุกอย่างที่สามารถฝังได้ ก่อนจะรีบออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็วทุกคนต่างรู้สึกเหมือนทำเรื่องผิดอยู่ตลอด จึงหวาดระแวงไปตลอดทางจนกระทั่งช่วงบ่ายของวันถัดมา พวกเขาจึงข้ามด่านเป่ยลู่ไปได้สำเร็จเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาถึงได้วางใจอย่างแท้จริงก่อนแยกจากกัน โหวซื่อไคได้ตกลงกับคนของตระกูลซูว่า “น้ำตาลขาวนี้ต้องขายในราคาสูง ห้ามขายต่ำเกินไป เพราะถ้าราคาต่ำเกินไป มันไม่เป็นผลดีกับพวกเราทั้งหมด”ข้อเสนอนี้ คนของตระกูลซูไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใดเพื่อให้ได้วิธีผลิตน้ำตาลขาวจากน้ำตาลอ้อย พวกเขาทุ่มเงินมหาศาลไปแล้วอย่างไรเสีย พวกเขาก็ต้องนำต้นทุนกลั
หลังจากยุ่งวุ่นวายกันเกือบหนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็สามารถผลิตน้ำตาลขาวออกมาได้สำเร็จ“เยอะขนาดนี้เลยหรือ?”เมื่อเห็นน้ำตาลขาวที่ผลิตได้ ซูฮ๋วยหมินถึงกับตาค้างด้วยความตกตะลึงปริมาณที่ได้มาน่าจะประมาณสองเหลี่ยงเลยทีเดียวผางลู่ซานกล่าวว่า “ถ้าทำในปริมาณน้อย จะได้ผลลัพธ์ที่ละเอียดขึ้น ปริมาณน้ำตาลขาวที่ได้ก็จะมากขึ้นเล็กน้อย แต่ถ้าทำในปริมาณมาก การสูญเสียย่อมเยอะขึ้น! อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอย่างไร น้ำตาลอ้อยห้าจินต้องได้ผลผลิตเป็นน้ำตาลขาวหนึ่งจินแน่นอน”“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!”ซูฮ๋วยหมินเข้าใจแจ่มแจ้ง ดวงตาเป็นประกายมองน้ำตาลขาวตรงหน้าไม่อยากเชื่อเลย!การทำน้ำตาลขาวจากน้ำตาลอ้อยกลับง่ายดายเพียงนี้!หัวใจสำคัญอยู่ที่น้ำส้มสายชูข้าวและน้ำซาวข้าว!แต่เพียงวิธีการง่ายๆ นี้ พวกเขากลับต้องจ่ายเงินถึงสองล้านตำลึงแค่คิดก็ปวดใจแล้วอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงว่าหลังจากนี้พวกเขาจะสามารถผลิตน้ำตาลขาวได้จำนวนมหาศาล ซูฮ๋วยหมินก็รู้สึกปล่อยวางได้เงินที่เสียไป ไม่นานก็จะกลับคืนมาเป็นกำไร!“ให้เวลาเจ้าสิบห้านาที หากยังมีข้อสงสัยก็รีบถาม!”ขณะพูด ผางลู่ซานก็ขยับไปที่หน้าต่าง สีหน้าเต็มไปด้วยความ
ตอนเที่ยงของวันถัดมา ผางลู่ซานสะพายห่อผ้ามาตามเวลานัด และปรากฏตัวในลานบ้านร้าง“ของทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?”ทันทีที่เข้ามา ผางลู่ซานก็เอ่ยถาม“เตรียมพร้อมหมดแล้ว!”โหวซื่อไคชี้ไปที่หม้อเหล็กใบเล็กและอุปกรณ์อื่นๆ ที่เตรียมไว้ผางลู่ซานเดินไปตรวจสอบครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งโหวซื่อไคทันทีว่า “เจ้าทิ้งคนไว้ช่วยข้าคนหนึ่ง ที่เหลือออกไปเฝ้ารอบนอก หากมีใครเข้ามา ให้รีบเตือนพวกเราโดยทันที!”“เอ่อ…”โหวซื่อไคลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพูดกับซูฮ๋วยหมินว่า “เจ้าอยู่ข้างใน ส่วนคนอื่นออกไปเฝ้าด้านนอก!”คนในตระกูลซูที่เหลือต่างไม่พอใจนักพวกเขาเองก็อยากดูให้แน่ชัดว่าผางลู่ซานใช้วิธีใดในการเปลี่ยนจากน้ำตาลอ้อยเป็นน้ำตาลขาวแต่เมื่อเห็นโหวซื่อไคส่งสายตาให้พวกเขาเป็นพัลวัน ก็จำต้องยอมรับและออกไปด้านนอกช่างเถอะ!อย่างไรเสีย ตระกูลซูก็ยังมีคนอยู่ข้างในหนึ่งคนอยู่แล้ว ไม่มีทางที่โหวซื่อไคจะเก็บความลับนี้ไว้คนเดียว!คิดเช่นนั้น พวกเขาก็เดินออกไปอย่างไม่เต็มใจนักเมื่อคนออกไปหมดแล้ว ผางลู่ซานก็เริ่มสั่งการทันทีคนหนึ่งตั้งเตาไฟ อีกคนล้างหม้อหลังจากทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ผางลู่ซานก็หยิบน้