ฮูหยินผู้เฒ่ากระทืบเท้าแล้วพูดว่า "ให้เขาขนของไปหมด ไม่เหลืออะไรแล้ว ต่อไปจวนแม่ทัพแม้แต่ค่ายาของข้าก็จ่ายไม่ไหวแล้ว"จ้านเป่ยว่างรู้สึกอึดอัดใจมาก แต่เขาทำได้เพียงปลอบใจท่านแม่ "ไม่ต้องห่วง สงครามที่เขตหนานเจียงต้องให้ข้าและยี่ฝางไปเร็วๆ นี้ ข้าจะต้องสร้างผลงานกับมาอีกครั้ง"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านร้องไห้อย่างหนัก "นางจะใจร้ายขนาดนี้ได้ยังไง ก็แค่ภรรยาเท่าเทียมกันนี่เอง ทำไมนางถึงทนไม่ได้ล่ะ เป็นเด็กกำพร้าชัดๆ นางยังคิดว่าตัวเองเป็นลูกคุณหนูสูงส่งจริงๆ เหรอ?"จ้านเป่ยว่างกระตุกริมฝีปากของเขา ยามนี้ นางเป็นบุตรีของฮูหยิงเอกของจวนเสนาบดีกั๋วกงแล้ว แน่นอนว่านางเป็นลูกคุณหนูสูงส่ง"สมควรที่นางถูกสังหารทั้งโคตร สมน้ำหน้า สมน้ำหน้าจริงๆ!" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านพูดด้วยความโกรธสำหรับเรื่องที่ว่าตระกูลซ่งถูกสายลับของเมืองซีจิงฆ่าสังหารนั้นจ้านเป่ยว่างก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน เหตุใดสายลับของเมืองซีจิงจึงฆ่าคนแก่และผู้อ่อนแอเหล่านั้น? มันไม่คุ้มค่าโดยสิ้นเชิงแต่เรื่องของตระกูลซ่งไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปแล้ว และเขาจะไม่เสียเวลาไปสนใจมันอีกซ่งซีซีจะต้องเสียใจภายหลัง อันที่จริง ตอนเขารู้เรื่องนี้เขา
ซ่งซื่ออันพาลูกน้องขนสินเดิมทั้งหมดกลับไปที่จวนเสนาบดีเจิ้นกั๋วกงซ่งซีซีออกมากล่าวขอบคุณ และชวนทุกคนเข้าไปดื่มชาซ่งซื่ออันกลับส่ายหัว "จะไม่ดื่มชานี้ในตอนนี้แล้ว ข้ามีเรื่องสำคัญอื่นที่ต้องทำ อีกอย่าง จ้านเป่ยว่างให้ข้าฝากบอกเจ้าว้า เขาบอกว่าหวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจภายหลัง"ซ่งซีซีหรี่ตาลง "หลานได้ยินแล้ว แต่ไม่มีอะไรจะตอบเขา ในเมื่อท่ารลุงยุ่งอยู่ หลานก็ไม่ฝืนใจให้เขาอยู่ต่อ"ซ่งซื่ออันพอใจกับคำตอบของนางมาก ตระกูลซ่งขาดอะไรก็ได้ แต่ขาดความภาคภูมิใจในตัวของพวกเขาไม่ได้ จากนั้นเขาก็พาคนออกไปไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปดื่มชา แค่ว่ายามนี้จวนเสนาบดีกั๋วกงยังวุ่นวายอยู่ และคนใช้มาใหม่คงยังเรียนรู้กฎไม่ได้เร็วขนาดนี้ หากเป็นเขาคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่เขายังพาลูกน้องคนอื่นมาด้วยคนเยอะก็มักจะมีเรื่องเยอะ หากคนรับใช้ทำอะไรไม่ดีขึ้นมาโดนแพร่ออกไป ยามนี้จวนเสนาบดีเจิ้นกั๋วกงไม่สามารถทนต่อข่าวลือแม้แต่น้อยเลยซ่งซีซีกลับไปที่เรือนหลิงหลง เขียนจดหมายและสั่งให้ผู้คนรีบส่งกลับไปให้อาจารย์ โดยขอให้อาจารย์ช่วยตรวจสอบสงครามระหว่างเมืองซีจิงและแคว้งซางที่ชายแดนเฉิงหลิงในใจของนางยังมีข้อสงสัยอยู่ แต่นา
แต่ปัญหาคือไม่มีใครบอกนาง ว่าจะมีทหารมาอีกทั้งมาเป็นร้อยกว่าคน ครอบครองที่นั่งจำนวนมาก ทำให้แขกจำนวนมากที่ได้รับคำเชิญกลับไม่มีที่นั่งคนเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารที่มาที่นี่เพื่อแสดงเป็นมิตร เป็นคนใหญ่คนโตของราชสำนักนี่น่ะเมื่อตีสนิทได้ มันจะเป็นผลประโยชน์ต่อจ้านเป่ยว่างในเรื่องที่เขาจะเลื่อนตำแหน่งงาน เวลานี้จะให้จัดการอย่างไร?แต่พวกเขาทั้งหมดต่างยืนตัวสั่นท่ามกลางลมหนาว ช่างเป็นบาปจริงๆจู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็หันไปหานางหมิน เพื่อให้นางคิดหาวิธีแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว นางหมินก็ตกใจและทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ไม่มีใครบอกนางว่ายังมีแขกอีกสินะ? นางจัดที่นั่งตามรายชื่อแขกเลยแขกยังประหลาดใจมากที่จู่ๆ เห็นคนไร้ระเบียบกว่าร้อยคนมาที่นั่น พอมาถึงก็ยึดที่นั่งและเริ่มกินดื่ม ต่างหัวเราะล้อเล่นกับเจ้าสาว เสียงหัวเราะดังมาก ทำไมรู้สึกสภาพเช่นนี้ดูแปลกไปหน่อยในนั้นมีขุนนางจากตระกูลชนชั้นสูงมากมาย ที่พวกเขามาเพราะเห็นแก่ฮ่องเต้ พวกเขาเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนที่ไหนกัน? แม้ว่าจวนแม่ทัพจะไม่ใช่ตระกูลที่ใหญ่โตอะไร แต่ก็สืบทอดกันมาหลายปี แล้วเหตุใดจึงเกิดความวุ่นวายในงานแต่งงานที
ยี่ฝางรู้สึกว่าข้อกล่าวหาของเขาไม่สมเหตุสมผล นางหัวเราะเยาะ "วันนี้ข้าเพิ่งแต่งเข้ามา เจ้าก็ดุข้าเสียงดังเช่นนี้ ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะเป็นยังไงบ้าง อีกอย่าง ทหารเหล่านี้ยังบุกน้ำลุยไฟติดตามเจ้ามาตลอดด้วย และเป็นพยานว่าเรารักกันยังไง ก็จริงที่ข้าชวนพวกเขามาไม่ได้บอกพวกเจ้าล่วงหน้า แต่งานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้จะไม่เตรียมเผื่อสักสิบโต๊ะไว้ที่ไหนกัน ส่วนพวกเขาได้ออกจากค่ายทหารโดยรับอนุญาตหรือไม่ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แม่ทัพหลิวไม่ใช่คนไร้เหตุผล"ทันทีที่ยี่ฝางดูแข็งแกร่งขึ้นมา จ้านเป่ยว่างก็อ่อนข้อให้เลย เขาไม่ต้องการสร้างปัญหากับนางในวันแต่งงานของพวกเขาจริงๆ ดังนั้นเขาจึงถามแค่ว่า "หากพูดเช่นนี้ ที่พวกเขาออกจากค่ายคือได้รับอนุญาตจากแม่ทัพหลิวงั้นเหรอ"ยี่ฝางไม่ได้ถามแม่ทัพหลิว นางแค่ออกคำสั่งให้พวกเขามาด้วย เพราะนางคิดว่ามันไม่สำคัญ แม่ทัพหลิวเป็นคนคุยง่ายดังนั้นนางจึงเมินคำถามนี้ ก่อนดุว่า "เป็นเพราะพวกเจ้าเตรียมงานไม่พร้อม พวกเจ้าไปถามเจ้าอื่นดูสิ มีใครบ้างที่จัดงานแต่งงานจะไม่เตรียมโต๊ะเผื่อไว้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดการเรื่องแต่งงานนี้ จัดไม่ได้เรื่องจริงๆ ยังกล้ามาโทษข้าอีก"ในเรื่องน
แขกทุกคนจากไปหมดแล้ว เหลือเพียงทหารหยาบคายจำนวนหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมากจนแทบจะหัวใจวายคนอื่นๆ ในจวนแม่ทัพก็มองหน้ากันด้วยความสับสน พวกเขาไม่เคยเห็นมีเจ้าไหนบ้างได้จัดงานแต่งงานจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันคือพระราชทานอภิเษกสมรสจากฮ่องเต้เสียอีกหากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป เกรงว่าจวนแม่ทัพจะกลายเป็นตัวตลกในเมืองหลวงเข้าแล้วจ้านเป่ยว่างไปตามหานางหมิน และความโกรธในใจของเขาไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป เขาตบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดว่า "พี่สะใภ้ ถ้าเจ้าไม่อยากช่วยข้าเพื่อจัดงานแต่งงานให้มีเกียรติดูยิ่งใหญ่ก็บอกข้าได้เลย ตอนนี้งานแต่งดีๆ กลับกลายเป็นเรื่องตลกแทน แขกไปกันหมด แล้วต่อไปข้าจะเป็นข้าราชการในราชสำนักได้ยังไงล่ะ"นางหมินรู้สึกคับข้องใจมาก และน้ำตาไหล "ข้าก็จัดตามรายชื่อแขกเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ก็มีคนมากันเยอะขนาดนี้ เรื่องนี้จะมาโทษข้าได้ยังไง อีกอย่าง คนที่ดูแลบ้านในอดีตก็ไม่ใช่ข้า ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงต่างๆ มักจะเป็นซีซีจัดการให้ ข้าเห็นนางจัดเรียงตามรายชื่อแขกด้วย และไม่เคยเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ใครจะรู้ว่าจะมีคนมามากมายโผล่มาเช่นนี้""อย่าพูดถึงนาง!" จ้านเป่ยว่างกำลังรู
เขาเงียบไปสักพัก แล้วหันกลับมาสั่งคนเข้าไปทำความสะอาดนี่คือผู้หญิงที่เขาสู่ขอมาด้วยผลงาน งานแต่งงานในคืนนี้ดูไม่เหมาะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นความผิดของใครก็ตาม ก็นางข้องใจจริงๆเขาอดทนไว้เขาไม่อาจปล่อยให้ตัวเองรู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย เพราะเขายังต้องเห็นซ่งซีซีเสียใจอีกเฮอะ ถ้าซ่งซีซีรู้ว่างานแต่งงานของเขากับยี่ฝางล้มไม่เป็นท่าเช่นนี้ นางคงจะหัวเราะเยาะกระมังณ จวนเสนาบดีเจิ้นกั๋วกง คืนนี้ซ่งซีซีเหงื่อออกมากหลังจากฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้ นางเลยอาบน้ำร้อน และให้เป่าจูนำหม้อเหล้ามา นางจะดื่มคนเดียวเดือนที่ผ่านมา นางใช้ชีวิตเกือบแบบนี้ทุกวัน อ่านหนังสือตอนกลางวันและฝึกศิลปะการต่อสู้ตอนกลางคืน หลังจากแต่งงานเข้าจวนแม่ทัพได้หนึ่งปี นางก็ไม่ได้ฝึกฝนแม้แต่ท่าเดียว แม้ว่าไม่ถึงขั้นลืมท่าไป แต่ท่าบางท่าก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนนางต้องการฝึกฝนให้ดีกว่าเดิมนางไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของจ้านเป่ยว่างและยี่ฝาง แม่นมฮวงและแม่นมเหลียงควบคุมคนรับใช้อย่างเข้มงวดมาก เรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับจวนแม่ทัพไม่อนุญาตให้พูดคุยเลยแม้แต่น้อยหลังจากเมานิดหนึ่ง เป่าจูก็เปิดม่านแล้วรีบเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยถือ
จดหมายทหารที่ท่านตาส่งกลับมานางไม่มีโอกาสได้อ่าน จดหมายทหารนั้นต้องส่งไปที่กระทรวงกลาโหมก่อน และกระทรวงกลาโหมจะทำสำเนาไว้แล้วค่อยส่งต่อให้ฮ่องเต้ดังนั้น กระทรวงกลาโหมน่าจะมีจดหมายทหารและหนังสือแจ้งชัยชนะที่ท่านตาส่งให้ นางต้องแอบเข้าไปในกระทรวงกลาโหมสักครั้งที่กระทรวงกลาโหมในตอนกลางคืนจะไม่มีใครอยู่ เพราะสำนักหกกระทรวงอยู่ทั้งสองฝั่งของถนนเชียนปู้ ติดกับพระราชวัง กองทัพจักรวรรดิจะไม่ลาดตระเวนถนนถนนเชียนปู้ แต่ผู้คนจากค่ายลาดตระเวนจะลาดตระเวนที่นั่นแน่แต่นางต้องการอ่านจดหมายรายงานสงครามครั้งนี้ และอนุสรณ์หลังสงครามที่ท่านตาของนางมอบให้ สิ่งหนึ่งที่นางยืนยันได้คือ ท่านตายอมรับผลงานของยี่ฝาง มิฉะนั้น กระทรวงกลาโหมจะไม่ตัดสินผลงานเช่นนี้ชาวเมืองซีจิงเป็นคนประเภทมีแค้นก็ต้องชำระ หาก ยี่ฝางสังหารหมู่บ้านและผู้ถูกจับ ไม่ว่าพวกเขายอมจำนนด้วยเหตุผลใด พวกเขาจะไม่มีทางยอมให้อย่างง่ายๆ มีความเป็นไปได้สูงมากคือพวกเขาสร้างพันธมิตรกับแคว้งซา และปรากฏตัวบน สนามรบเขตหนานเจียงนางหาแผนที่มาตรวจดู หากผู้คนจากเมืองซีจิงปรากฏตัวในสนามรบเขตหนานเจียง โดยไม่ผ่านแคว้งซาง พวกเขาจะต้องไปที่แคว้งซาก่อน จ
ในคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว ซ่งซีซีแอบเข้าไปในห้องสมุดของกระทรวงกลาโหมได้สำเร็จไม่จำเป็นต้องค้นหาอย่างหนัก จดหมายทหารทั้งหมดเกี่ยวกับสงครามชายแดนเฉิงหลิงถูกวางไว้ที่ด้านซ้ายบนของชั้นวาง นางหยิบไข่มุกราตรีที่นางพกตัวออกมาแล้วคลุมด้วยผ้าเพื่อบังแสงบางส่วน ซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องแล้วหยิบจดหมายทหารออกมาอ่านดูหลังจากอ่านเสร็จแล้ว ร่างกายของนางก็หนาวเย็นไปหมด และน้ำตาของนางก็ไหลไม่หยุดจ้านเป่ยว่างและยี่ฝางไปเป็นกำลังเสริม หลังจากที่พวกเขามาถึงชายแดนเฉิงหลิง ก็เข้าร่วมการออกศึก แต่พวกเขาไม่มีประสบการณ์มากนักในสนามรบ ดังนั้นในการต่อสู้ครั้งแรก ท่านลุงสามเพื่อช่วยเขาได้หักแขนไปข้างหนึ่งท่านลุงเจ็ด ซึ่งในความทรงจำของนาง เขายังคงเป็นชายหนุ่มที่มีออร่าแข็งแกร่งกลับได้เสียชีวิตในสนามรบก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึงท่านตาของนางก็ได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง ดังนั้น จ้านเป่ยว่างจึงเป็นผู้นำในการต่อสู้ต่อไปในที่สุด จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางเป็นผู้พลิกสถานการณ์จริงๆ พวกเขานำกองทหารบุกเข้าไปในเขตลู่เอ๋อร์ของเมืองซีจิง จ้านเป่ยว่างรับผิดชอบในการเผาคลังเสบียงทหารของเมืองซีจิง รวมถึงธัญพืชแล
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้
นายท่านเซียวแปดออกคำสั่งให้ไปสืบหาเรื่องนี้ โดยมอบหมายให้จ้านเป่ยว่างเป็นผู้นำกำลังไปสืบข่าวตามที่ต่างๆเรื่องที่ซ่งซีซีเดินทางมายังชายแดนเฉิงหลิงนั้น จ้านเป่ยว่างรู้ดี วันนั้นตอนที่คณะทูตเดินทางมาถึงเขตเมือง เขายืนดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่ได้เข้าไปต้อนรับเขายืนอยู่ไกลมาก ถึงขั้นที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน เห็นเพียงเงารางๆ คล้ายกับเป็นนางเท่านั้นเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองช่างทำเรื่องเปล่าประโยชน์ นางกับเขายังมีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก? เรื่องราวของเมืองหลวง เขาสมควรอยู่ให้ห่างที่สุดในระหว่างที่คณะทูตพักอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาต่างก็ใช้เวลาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์การเจรจา รวมถึงจำลองสถานการณ์หลายครั้งทุกคนต่างเข้าใจดีว่าการเจรจาครั้งนี้ แม้จะง่ายกว่าครั้งก่อน แต่ก็มิใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริงนี่คือเรื่องที่จักรพรรดิ์นีใส่พระทัยเป็นอย่างยิ่ง นางจะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ แน่นอนทางตระกูลเซียวเองก็เป็นกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามอาจส่งคนเข้ามาสืบความลับเกี่ยวกับกลยุทธ์ของคณะทูต หากพวกเขาล่วงรู้แผนการ ก็สามารถรับมือได้ทันการณ์ ซึ่งจะทำให้แคว้นซางเสียเปรียบดังนั้น นายท่านเซียวแปดจึงสั่
หอชุนหม่านในวันนี้เต็มแน่นไปหมดเดิมทีโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก ปกติก็มีแขกมารับประทานอยู่บ้าง แต่เมื่อสตรีผู้นั้นพาคนชุดดำเข้ามา พวกเขาก็จับจองที่นั่งที่เหลือทั้งหมดซ่งซีซี เสิ่นว่านจือ และกุ้นเอ๋อร์ทั้งสามคน ถูกเจ้าของร้านเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว แยกออกจากพวกเขาเสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นข้างหูนาง แฝงแววขอโทษเล็กน้อย ทั้งยังฟังดูอบอุ่นน่าฟังยิ่งนัก “พวกเขาทั้งหมดเป็นสหายของข้า เช่นเดียวกับข้า ยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืนเลย หากแม่นางไม่สบายใจ ข้าจะให้พวกเขารออยู่ที่หน้าประตู แล้วแต่ละคนรับหมั่นโถวไปคนละลูกก็พอ”เสิ่นว่านจือถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว “ไม่จำเป็นหรอก นั่งตามสบาย อยากกินอะไรก็สั่งมาเถิด”บุรุษคนนั้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “แม่นางทั้งงดงามและมีจิตใจเมตตานัก เช่นนั้นพวกข้าก็จะสั่งอาหารตามสบายแล้วกัน ขอมากหน่อย”“ได้…ได้สิ” เสิ่นว่านจือพยักหน้า แล้วกวาดตามองคนชุดดำที่เต็มร้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายบางอย่างที่แขนเสื้อ ดูเหมือนจะเป็นตัวอักษร แต่เพราะเสื้อเหล่านั้นยับย่นและเปรอะเปื้อนจนมองแทบไม่อ
ซ่งซีซีมองสำรวจพวกเขาอยู่หลายครั้ง ในใจรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะไม่อาจเดาอายุของพวกเขาได้เลยหน้าตาดูเหมือนอายุราวสามสิบกว่าๆ ทว่ากลับมีกลิ่นอายของพลังชีวิต เปรียบเสมือนชายหนุ่มวัยสิบกว่าถึงยี่สิบปีเมื่อมองดวงตาของพวกเขาอีกครั้ง โดยเฉพาะดวงตาของบุรุษคนนั้น กลับลึกล้ำประหนึ่งบ่อน้ำโบราณ อีกทั้งยังดูคล้ายสุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่เจนโลกยังไม่ทันที่ซ่งซีซีจะเอ่ยปาก บุรุษคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าพลางถามว่า “ที่นี่จะสร้างสถานรับเลี้ยงเด็กหรือ? เป็นโครงการของทางการใช่หรือไม่?”กุ้นเอ๋อร์มองพวกเขาแวบหนึ่ง ฟังจากสำเนียงของพวกเขาก็เป็นสำเนียงภาษาทางการของแคว้นซางโดยแท้ เห็นชัดว่าไม่ใช่คนจากชายแดนเฉิงหลิงเพียงแต่จากสีหน้าของพวกเขาก็ไม่เห็นเจตนาร้ายอันใด จึงตอบว่า “ใช่ ที่นี่รับเลี้ยงเด็กที่ถูกทอดทิ้งโดยเฉพาะ เป็นโครงการที่ทางการจัดตั้งขึ้น”บุรุษคนนั้นกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องดี”ซ่งซีซีเดินขึ้นไปถามว่า “ท่านมาจากเมืองหลวงหรือ?”บุรุษคนนั้นมองนาง แต่กลับไม่ตอบคำถามนี้ ทว่ากลับถามนางแทนว่า “เจ้าคือพระชายาของเป่ยหมิงอ๋อง ซ่งซีซีหรือ?”ซ่งซีซีรู้สึกระมัดระวังขึ้นมา ทันทีที่นางกำลังจะถามเขาว่ารู้ได
ฉินอ๋องหลับยาวจนถึงบ่ายวันรุ่งขึ้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะความหิวเมื่อลืมตาขึ้นมา รู้สึกว่าร่างกายแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ เจ็บปวดไปทุกส่วนความอ่อนล้ากัดกินลึกถึงกระดูก แม้แต่จะยกมือขึ้นยังแทบไม่มีแรงในบรรดาคนรับใช้ที่ติดตามเขามา มีขันทีคนสนิทชื่อเสี่ยวจี๋จื่อ ยืนอยู่ข้างเตียง รายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายาเป่ยหมิงอ๋องมีเรื่องจะหารือกับท่าน นางรอท่านมาครึ่งวันแล้ว”เดิมทีฉินอ๋องตั้งใจจะกินข้าวบนเตียงแล้วนอนต่อ เพราะเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัวแต่เมื่อได้ยินว่าซ่งซีซีรอเขามาครึ่งวันแล้ว เขาก็รีบเปิดผ้าห่มออกทันที สั่งเสียงเร่งรีบ “เปลี่ยนเสื้อผ้า เร็วเข้า”ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เขาได้เห็นความสามารถของซ่งซีซีกับตาตัวเอง นางเป็นสตรี แต่ไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อยแม้แต่คำเดียว ภายใต้การบัญชาของนาง ขบวนเดินทางหลีกเลี่ยงอันตรายมาได้หลายครั้ง ผู้คนมากมายล้มป่วยระหว่างทาง แต่นางกลับแข็งแรงราวกับวัวกระทิงคนที่มีความสามารถเช่นนี้ จะไม่มีวันเสียเวลามาหยอกล้อกับใครแน่ หากมาหาเขา ย่อมมีเรื่องสำคัญแน่นอนแม้เขาจะหิวจนไส้แทบกิ่ว แต่ก็รีบล้างหน้าแต่งตัว จากนั้นก็ดื่มโจ๊กหนึ่งชามแล้วรีบไปพบนาง “น้องสะใภ้