ซ่งซีซีรู้ว่างานเลี้ยงของสนมฮุ่ยไทเฟยไม่ได้เชิญชวนนาง ทว่าส่วนนางจะจัดงานเลี้ยงเมื่อไร นางไม่รู้เลยนางมองไปที่ศิษย์พี่ "เจ้ามาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่? นี่แค่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?"เสิ่นชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้ม "มาหลายวันแล้ว เดินเล่นแถมเมืองหลวง อยากสงบจิตใจ ไม่อยากได้ยินเสียงวุ่นวายของเจ้าเร็วเกินไป""อ๊า? ท่านไม่ได้มาหาข้าทันทีที่มาถึงเมืองหลวงเหรอ? ท่านทำเกินไปแล้วนะ""อืม ไม่มาหาเจ้า ร้องไห้ได้เลย" เสิ่นชิงเหอนั่งลงและจิบน้ำชาช้าๆ หลังจากดื่มไปครึ่งแก้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นและเห็นศิษย์น้องตัวน้อยยืนอยู่ตรงหน้าเขาในดวงจาแดงก่ำ เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า "พอเจ้ามีเรื่อง เจ้าไม่ยอมกับกับเราสักเรื่องเลย แล้วศิษย์พี่ไม่ต้องมาสืบเองหรือ เจ้าจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ดี ต่อให้ไม่ต้องให้เราเข้าไปยุ่ง แต่อย่างน้อยศิษย์พี่ต้องรู้เรื่องด้วย""ศิษย์พี่ บัดนี้ข้ามีชีวิตที่ดี" ซ่งซีซีนั่งข้างเขา ยังคงทำท่าออดอ้อนเหมือนเมื่อก่อน แค่เมื่อกี้ที่นางเพิ่งเห็นเขาเลยตื่นเต้นมาก ยังสามารภทำท่าอ่อนโยนได้ ทว่ายามเวลานี้ทำไม่เป็นแล้ว "รุ่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว ข้ามีญาติแล้ว อีกอย่างข้ากำลังจะแต่งงาน และท่านเป่ยหมิงอ๋องก็
เมื่อถึงวันงานเลี้ยงของสนมฮุ่ยไทเฟย สตรีที่มียศถาบรรดาศักดิ์ และอูหยิยของพวกขุนนางต่างๆ พาลูกๆ ของตนเองมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องวันนั้น หิมะไม่ตกเลย แต่ทุกคนก็ได้รับเชิญให้มาร่วมรับชมหิมะ นอกจากนี้ ดอกบ๊วยในสวนยังถูกย้ายไปยังสถานที่ห่างไกลอีกด้วย หลังจากย้ายปลูกแล้ว ดอกบ๊วยในปีนี้ก็ไม่บานบวกกับหลังจากที่เซี่ยหลูโม่กลับมาอย่างมีชัย แม้ว่าเขาจะให้ช่างมาดูแลดอกไม้อย่างดี แต่ดอกไม้ที่สวนก็บานไม่มากนักแต่ไม่ว่าการชมหิมะหรือดอกไม้ล้วนไม่สำคัญ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า สนมฮุ่ยไทเฟยต้องการอวดดีอย่างที่คาดไว้ นางสวมกระโปรงชั้นดีสีม่วงแดงพร้อมรอยดอกบัวขนาดใหญ่ และมีผ้าขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์คลุมไว้ หวีผมเป็นมวย มีผมสีขาวแค่ไม่กี่เส้นเอง และตกแต่งด้วยมงกุฎทองคำฝังด้วยทับทิม ดูเหมือนมีราคาแพงอย่างไม่อาจบอกได้วันนี้ องค์หญิงใหญ่ก็แต่งตัวอย่างดีเหมือนกัน แต่นางไม่หรูหราเท่าสนมฮุ่ยไทเฟย นอกจากนี้นางอยู่ในวังมาหลายปีแล้ว ผิวของไทเฟยยังขาวและสดใส และไม่มีริ้วรอยแถวหางตาเลย แต่ทางกลับกัน ริ้วรอยที่หางตาขององค์หญิงใหญ่เห็นอย่างชัดเจนมาก เมื่ออยู่ในหน้าหนาวผิวของนางก็แห้งด้วย พอทาแป้งแล้วยิ่งดูแก่ขึ้น
เมื่อคนนั้นถามเช่นนี้ ทุกคนก็ตระหนักว่าซ่งซีซีจากจวนเสนาบดีกั๋วกงไม่อยู่ที่นี่นี่ก็แปลก ตามหลักแล้ว นางกำลังจะแต่งเข้ามา วันนี้ไทเฟยจัดงานเลี้ยงหลังจากที่นางย้ายมาอาศัยอยู่ที่จวนอ๋อง นางต่างหากที่เป็นคนควรมาที่สุดในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยนั้น สนมฮุ่ยไทเฟยก็พูดอย่างใจเย็น "หาใช่ว่าใครหน้าไหนก็สามารถมาร่วมงานชมหิมะของข้าได้"ทันทีที่คำพูดนี้พูดออกมา ทุกคนต่างก็เข้าดีแล้วสนมฮุ่ยไทเฟยไม่ชอบว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ก็จริง แม้ว่าซ่งซีซีจะมีภูมิหลังทางครอบครัวที่ดี และมีผลงานทางทหารด้วย แต่ถึงยังไงนางก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่เคยหย่ามา เซี่ยหลูโม่เป็นถึงท่านอ๋อง นางไม่คู่ควรมีการอภิปรายกันมากมายด้านล่าง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าจากโหวผิงหยางรู้สึกไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินเช่นนั้น สนมฮุ่ยไทเฟยทำมากเกินไป แม้ว่านางจะไม่ชอบ แต่การแต่งงานก็ถูกกำหนดไว้นานแล้ว อย่างน้อยก็ต้องรักษาความสามัคคีทางภายนอกนางเหลือบมองท่านหญิงเจียอี้ ลูกสะใภ้ของตนเองแวบนึง เมื่อเห็นว่านางกับยัยน้อยจากตระกูลจ้านไม่รู้ว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ นางอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว หลังจากอยู่ด้วยกันตั้งหลายปี จะไม่รู้ได้ยังไงว่านางกำลังวางแผนร้ายอะไ
จ้านเส้าฮวนคุกเข่าลงด้วยใบหน้าโศกเศร้าเพื่อกล่าวขอบคุณ จากนั้นมองไปที่ท่านหญิงเจียอี้เพื่อขอความช่วยเหลือท่านหญิงเจียอี้มีสีหน้าบึ้งตึง ผู้หญิงไร้สมองคนนี้ วันนี้เป็นอะไรกัน? กลับทำให้นางหน้าแตกฉากนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะอย่างลับๆ สนมฮุ่ยไทเฟยหลอกได้ง่ายมาก แค่สรรเสริญเยินยอนางสักหน่อย ก็สามารถให้นางทุ่มเทความจริงใจได้มันง่ายที่จะทำให้นางมีความสุข และจะหลอกลวงนางก็ง่ายมากเช่นกัน แต่นางมักจะภูมิใจในตัวลูกชายของตนเองมาโดยตลอด ใครก็ตามที่วางแผนกับเป่ยหมิงอ๋อง จะไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอนท่านหญิงเจียอี้ระงับความโกรธของนางไว้ ได้แต่ทำหน้ามืดทะมึนและไม่พูดอะไรในทางกลับกัน องค์หญิงใหญ่กลับยิ้ม ก่อนหยิบน้ำชาดื่มช้าๆ และพูดว่า "แค่ล้อเล่นเฉยๆ จะเอาจริงเอาจังได้อย่างไร? พระชายายังไม่ได้แต่งเข้ามาเลย จะวางแผนเรื่องชายารองได้ยังไง เจียอี้ก็ใจดีเกินไป ยัยเด้กน้อยจากตระกูลจ้านคนนั้นแค่บอกว่ามีใจให้โม่เอ๋อ และหลั่งน้ำตาเล็กน้อย เจ้าก็สงสารนาง และพูดแทนนางต่อหน้าไทเฟย ไทเฟยจะตัดสินเรื่องในจวนเป่ยหมิงอ๋องได้ยังไงล่ะ อย่าว่าแต่ชายารองเลย ต่อให้เป็นอนุภรรยาที่คอยรับใช้นั้น หากไม่ได้รับความยินยอมจ
คำพูดที่เรียบๆ ขององค์หญิงใหญ่ ถือว่ายืนยันคำพูดของท่านหญิงเจียอี้อย่างไม่ต้องสงสัย"ไม่น่าแปลกใจเลยที่สนมฮุ่ยไทเฟยจะไม่ชอบนาง ที่แท้ว่านางใช้ลูกไม้นี้""อุตส่าห์ที่นางยังคงเป็นบุตรีของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดีกั๋วกง การใช้ลูกไม้ที่สกปรกเช่นนี้ ทำให้คนน่ารังเกียจจริงๆ""พระชายาอ๋องฮวย บัดนี้ข้าถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงไม่สุงสิงกับนาง ปรากฎว่ามีเหตุผลเช่นนี้"พระชายาอ๋องฮวยถือถ้วยชาไว้ และอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อองค์หญิงใหญ่เหลือบมองนางด้วยสีหน้าเย็นชา นางก็ต้องยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะจิบชาคำนึง และสุดท้ายก็ไม่พูดอะไรเลยสนมฮุ่ยไทเฟยรู้สึกไม่สบอารมณ์มาก ที่งานนี้ไม่เรียกซ่งซีซีมา ก็เพื่อวางอำนาจนาง ให้นางสงบเสงี่ยมเจียมตัวบ้าง อย่าคิดว่าหลังจะแต่งเข้ามาจะมาอยู่เหนือกว่านางอย่างไรก็ตาม นางเป็นว่าที่พระชายาของโม่เอ๋อนี่เป็นเรื่องที่เปลี่ยนไม่ได้ นางเองก็ไม่อยากให้ซ่งซีซีถูกกล่าวหาเช่นนี้แต่คำพูดนี้องค์หญิงใหญ่เป็นคนพูดเอง และนางห็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เมื่อเห็นนางพูดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ตนเองก็โต้แย้งไม่ได้ ได้แต่จิบชาอย่างไม่พอใจก็เท่านั้น"แหม ทำไมทุกคนมาเร็วจ
ทันใดนั้นสีหน้าขององค์หญิงใหญ่และท่านหญิงเจียอี้ก็ไม่น่ามองมากองค์หญิงใหญ่เป็นคนชอบทำตัวเหมือนมีความรู้เยอะเพื่อให้ตนเองดูดี เดือบจะได้ภาพวาดดอกบ๊วยเย็นของคุณชายเสิ่นชิงเหอ แต่มันก็ถูกฉีกออก และยังถูกหัวเราะเยาะด้วยการถูกขายหน้าเพราะเหตุการณ์ภาพวาดดอกบ๊วยเย็น ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจกับเสิ่นชิงเหอด้วย ถึงยังไงนางแค่เสแสร้งว่าทำงานศิลปะพวกนี้ ไม่ได้ชอบรับชมภาพกวาดจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่นชมจิตรกรเลยจ้านเส้าฮวนหาที่นั่งให้ตนเองนั่งลงโดยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป แต่ในใจของนางยังคงโกรธมาก ทำไมซ่งซีซีถึงมีศิษย์พี่ที่มีชื่อเสียงดังเช่นนี้องค์หญิงใหญ่และท่านหญิงเจียอี้ต่างก็พูดไม่ออก คำวิจารณ์ที่มีต่อซ่งซีซีในเมื่อกี้ ราวกับเป็นแค่เรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้นแม้แต่ฮ่องเต้และเสนาบดีก็ไปที่นั่นด้วยตนเอง แต่พวกนางกลับอยู่ที่นี่และหัวเราะเยาะซ่งซีซี ทั้งตระหนี่และไม่เป็นเรื่องจริงๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงคำพูดใส่ร้ายขององค์หญิงใหญ่และท่านหญิงเจียอี้ ตนอเองยังคงช่วยใส่สีตีไข่ให้ เป็นคนชั่วจริงๆใบหน้าของพระชายาอ๋องฮวยยิ่งน่าสนใจเป็นพิเศษ เดี๋ยวก็เผยสีหน้าเขินอาย เดี๋ยวก็หัวเราะเยาะ เดี๋ย
คำพูดของฮูหยินโหวผิงหยางทำให้สนมฮุ่ยไทเฟยทั้งภาคภูมิใจและมีความผิดเล็กน้อยวันนี้ที่นางจงใจไม่เรียกซ่งซีซีมา ก็เพื่อวางอำนาจนาง โดยไม่คาดคิดว่านางไม่ได้ถือสาแต่อย่างใด แถมยังมอบผลงานชิ้นเอกของศิษย์พี่ของนางแก่ตนเองด้วยซ้ำจากมุมมองนี้ ซ่งซีซีไม่เพียงแต่เป็นคนรู้ความ แต่ยังใจกว้างอีกด้วยเปรียบเทียบดูแล้ว มันทำให้เห็นว่าตนเองเป็นคนค่อนข้างใจแคบไปหน่อยนางเห็นความอิจฉาและความริษยาในสายตาของเหล่าไทเฟยอื่นๆ อืม ความชอบที่มีต่อซ่งซีซีมากขึ้นเล็กน้อย แต่แค่เล็กน้อยเท่านั้น มากกว่านั้นไม่ได้แล้วแม่ลูกขององค์หญิงใหญ่เข้าไปดูแวบึงเช่นกัน น่ามหัศจรรย์จริงๆ แต่ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่ของของตนเอง เลยต้องเหยียดหยันสักหน่อยองค์หญิงใหญ่ไม่คำนึงถึงสถานะหรือมารยาทที่ดีที่นางแสร้งทำเป็นในอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่า "เสิ่นชิงเหอถนัดวาดภาพดอกบ๊วย หากมีใจอยากมบอบให้เจ้า ก็ควรมอบภาพดอกบ๊วยสิ การให้ภาพภูเขาหิมะก็แค่ทำอะไรไม่จริงใจแหละ"หากคนอื่นได้ยินคำพูดนี้อาจจะไม่พอใจได้ทว่าสนมฮุ่ยไทเฟยไม่หรอก นางพูดว่า "ข้าไม่ชอบดอกบ๊วยมากที่สุด"องค์หญิงใหญ่ราวกับชกสำลี และทำได้แค่จ้องมองทั้งอย่างนั้น นังโง่คนนี้จะไปรู้อะ
องค์หญิงใหญ่โดนโต้แย้งจนพูดไม่ออก โกรธอยู่นานก่อนที่นางจะลุกขึ้นและเยาะเย้ยว่า "เจ้ารับชมภาพวาดไม่เป็น กลับใช้หัวข้อนี้พูดไปไกล ดูท่าว่าข้ากับฮูหยินโหวผิงหยางพูดไม่เข้าใจกัน ขอกลับก่อน"หลังจากที่นางพูดจบ ก็จ้องเข็มงสนมฮุ่ยไทเฟย สนมฮุ่ยไทเฟยตกตะลึง ไอ้แก่คนนี้เป็นอะไรกันเนี่ย คนที่ทำให้นางขุ่นเคืองคือฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยาง ทำไมถึงจ้องนางล่ะ?แต่สุดท้ายแล้วเป็นเพราะนางโดนอีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด และบวกกับมีความร่วมมือทางธุรกิจด้วย ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการที่จะมีเรื่องกับนาง และถามว่า "องค์หญิงจะไม่รับชมต่ออีกสักหน่อยหรือ"องค์หญิงใหญ่เดินเข้าไปหานาง แล้วกระซิบข้างขู่เบาๆ แต่มีแฝงไปด้วยน้ำเสียงขู่ว่า "แน่นอนว่าต้องรับชม หลังจากที่ทุกคนชมเสร็จ เจ้าเอาภาพวาดนี้ไปส่งที่จวนของข้า จัดส่งภายในวันนี้"หลังจากพูดอย่างนั้น นางก็พาท่านหญิงเจียอี้ออกไปเมื่อเห็นเช่นนี้ จ้านเส้าฮวนจึงรีบติดตามไปเมื่อเห็นเช่นนี้ พวกฮูหยินที่สนิทกับองค์หญิงใหญ่ก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนยืนขึ้นและกล่าวลาจากไปแต่ยังมีคนจำนวนมากที่อยู่ต่อ โดยเฉพาะคุณหนูหยานหรูอวี้ หลานสาวของครอบครัวหยานไท่ฟู่ นางมองภาพแต่ละภาพอย่างจริ
ฉินอ๋องหลับยาวจนถึงบ่ายวันรุ่งขึ้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะความหิวเมื่อลืมตาขึ้นมา รู้สึกว่าร่างกายแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ เจ็บปวดไปทุกส่วนความอ่อนล้ากัดกินลึกถึงกระดูก แม้แต่จะยกมือขึ้นยังแทบไม่มีแรงในบรรดาคนรับใช้ที่ติดตามเขามา มีขันทีคนสนิทชื่อเสี่ยวจี๋จื่อ ยืนอยู่ข้างเตียง รายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายาเป่ยหมิงอ๋องมีเรื่องจะหารือกับท่าน นางรอท่านมาครึ่งวันแล้ว”เดิมทีฉินอ๋องตั้งใจจะกินข้าวบนเตียงแล้วนอนต่อ เพราะเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัวแต่เมื่อได้ยินว่าซ่งซีซีรอเขามาครึ่งวันแล้ว เขาก็รีบเปิดผ้าห่มออกทันที สั่งเสียงเร่งรีบ “เปลี่ยนเสื้อผ้า เร็วเข้า”ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เขาได้เห็นความสามารถของซ่งซีซีกับตาตัวเอง นางเป็นสตรี แต่ไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อยแม้แต่คำเดียว ภายใต้การบัญชาของนาง ขบวนเดินทางหลีกเลี่ยงอันตรายมาได้หลายครั้ง ผู้คนมากมายล้มป่วยระหว่างทาง แต่นางกลับแข็งแรงราวกับวัวกระทิงคนที่มีความสามารถเช่นนี้ จะไม่มีวันเสียเวลามาหยอกล้อกับใครแน่ หากมาหาเขา ย่อมมีเรื่องสำคัญแน่นอนแม้เขาจะหิวจนไส้แทบกิ่ว แต่ก็รีบล้างหน้าแต่งตัว จากนั้นก็ดื่มโจ๊กหนึ่งชามแล้วรีบไปพบนาง “น้องสะใภ้
หลังจากจุดธูปเคารพเสร็จแล้ว เมื่อกลับมายังเรือนหลัง ทุกคนก็ซับน้ำตา เก็บซ่อนความโศกเศร้า แล้วพากันล้อมวงถามไถ่ซ่งซีซีเกี่ยวกับชีวิตคู่ของนางแต่คำถามที่ถูกถามมากที่สุดก็คือเป่ยหมิงอ๋องปฏิบัติต่อนางดีหรือไม่ครอบครัวก็เป็นเช่นนี้ แม้ว่าจะรู้ว่านางเป็นคนเก่งเพียงใด แต่ก็ยังคงหวังให้คู่ครองของนางรักและเอ็นดูนางจากใจจริงซ่งซีซีมีลูกพี่ลูกน้องหญิงมากมาย ล้วนเป็นบุตรสาวของบรรดาลุงและน้าของนาง แม้ไม่เคยพบหน้ากันมากนัก แต่เมื่อได้เจอซ่งซีซี ต่างก็พากันตื่นเต้นยินดีพี่สาวทั้งหมดล้วนแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ครั้งนี้พากันกลับบ้านพร้อมสามีและลูกๆ พวกนางได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับซ่งซีซีมากมาย ทั้งรู้สึกนับถือและเห็นใจนางในหมู่พี่สาวเหล่านั้น มีอยู่คนหนึ่งชื่อเซียวเซียงอวี่ เป็นบุตรสาวคนโตของลุงสอง นางแต่งงานกับแม่ทัพหวงเฉิน ซึ่งเป็นนายทหารใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่เซียว แต่ยังไม่ถึงปี สามีก็สละชีพในสนามรบ ทิ้งลูกในครรภ์ไว้ให้บัดนี้ เด็กคนนั้นอายุสิบสองปีแล้วนางตั้ง สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นที่ชายแดนเฉิงหลิง เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ตอนนี้มีเด็กอยู่ในความดูแลกว่าสามสิบคน แต่ชีวิตกลั
พอเร่งเดินทางอย่างสุดกำลัง ในที่สุดวันที่สามเดือนแปด พวกเขาก็มาถึงชายแดนเฉิงหลิงตลอดยี่สิบวันที่เดินทางมา เนื่องจากอากาศร้อนจัด ผู้คนมากมายต่างล้มป่วยลงทีละคน แต่โชคดีที่ซ่งซีซีเตรียมตัวมาดี นางนำยามามากมาย และยังมีหมอหลวงจินติดตามมาด้วย จึงไม่เกิดปัญหาใหญ่อันใดฉินอ๋องนั้นถึงกับหมดเรี่ยวแรงโดยแท้เขาเคยลำบากเช่นนี้มาก่อนที่ไหนกัน ตั้งแต่วันที่สิบของการเดินทาง เขาก็แทบเอ่ยปากพูดไม่ได้ สีหน้าและริมฝีปากซีดขาวตลอดเวลา ความอิดโรยฉายชัดบนใบหน้า ไม่อาจปกปิดได้ครั้นเดินทางมาถึงเขตแดนเฉิงหลิง มองเห็นทหารสกุลเซียวที่นำทัพมาต้อนรับ เขาก็ถึงกับทรุดฮวบลงหมดสติไป ทำให้ทุกคนแตกตื่น รีบหามเขากลับไปทันทีซ่งซีซีเมื่อได้พบกับท่านตาและบรรดาท่านลุง นางจะไปสนใจฉินอ๋องได้อย่างไร นางพุ่งตัวเข้าหาอ้อมกอดของท่านตา น้ำตาไหลพรากมิอาจหยุดยั้งแม่ทัพใหญ่เซียวมองหลานสาวด้วยสายตาเอ็นดู ลูบศีรษะนาง น้ำเสียงสั่นเครือ เขาเคยคิดว่าเมื่อแยกจากกันที่เมืองหลวง บางทีคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ที่ไหนได้กลับได้พบหน้านางอีกครั้งผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวเสียงอ่อนโยน “พอแล้ว อย่าให้ทุกคนเห็นเป็นเรื่องขบขัน ไปพบลุงของเ
วันที่สิบสองเดือนเจ็ด คณะทูตแคว้นซางออกเดินทางจากเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่ มุ่งหน้าไปยังซีจิงเซี่ยหลูโม่ควบม้าส่งขบวนไปถึงยี่สิบลี้ จนกระทั่งจางต้าจ้วงและอาจารย์หยูกล่าวว่าเพียงพอแล้ว เขาจึงจำใจรั้งบังเหียนม้าเอาไว้ซ่งซีซีหันกลับมาส่งยิ้มให้เขา ใบหน้างามราวกับบุปผา ไม่มีท่าทีอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อยเซี่ยหลูโม่จ้องมองนาง สายตาอบอุ่นอ่อนโยน แต่กลับบ่นพึมพำเสียงต่ำว่า “ช่างเป็นสตรีไร้หัวใจเสียจริง”ดวงตะวันขึ้นสูงแล้ว ถนนหลวงไร้ลมพัด อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งนัก เขายืนรออยู่จนขบวนท้ายสุดลับสายตาไป จึงยอมหมุนม้ากลับอย่างเสียดายครั้งนี้ที่เดินทางไปซีจิง ซ่งซีซีนำกองทัพซวนเจียจำนวนสามร้อยนาย พร้อมทั้งกุ้นเอ๋อร์ เสิ่นว่านจือ และผู้ติดตามอื่นๆ ไปด้วยแม้สองแคว้นจะอยู่ในช่วงสงบชั่วคราวหลังสงคราม แต่เรื่องราวเกี่ยวกับองค์รัชทายาทซีจิงถูกซูลันซือเปิดเผยออกมา เวลานี้ชาวเมืองซีจิงมากมายยังคงมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อแคว้นซาง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องนำทหารติดตามไปมากขึ้น เพื่อรับรองความปลอดภัยของฉินอ๋องและเหล่าทูตสำหรับฉินอ๋องนี้ ซ่งซีซีมีปฏิสัมพันธ์กับเขาน้อยมาก ที่ถูกต้องกว่านั้นคือ นางแทบไม่ติดต่อกับฉินอ๋
ในค่ำคืนก่อนออกเดินทาง ซ่งซีซีพาเซี่ยหลูโม่ไปถวายบังคมลาฮุ่ยไทเฟย เนื่องจากวันรุ่งขึ้นต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ หากมาลาในตอนนั้นเกรงว่าฮุ่ยไทเฟยจะยังไม่ตื่น จึงเลือกมาขอลาในค่ำคืนนี้แทน ฮุ่ยไทเฟยทรงทราบมาก่อนแล้วว่าซ่งซีซีจะเดินทางไปซีจิง ตอนแรกยังไม่ทรงเข้าใจนัก มองว่าราชโองการของฮ่องเต้นั้นเกินไปหรือไม่ การเดินทางที่ยาวไกลเช่นนี้ จำเป็นต้องเป็นนางเพียงผู้เดียวจริงหรือ? แต่เมื่อเสิ่นว่านจืออธิบายว่านี่เป็นโอกาสให้นางได้กลับไปพบญาติฝ่ายมารดา พระนางก็ได้แต่ทอดถอนพระทัย แย้มสรวลบางเบาแล้วตรัสว่า "ความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต คือการต้องพลัดพรากจากครอบครัว แต่ความสุขที่สุด ก็คือการได้พบกันอีกครั้งหลังจากจากกันไปเนิ่นนาน" พระนางตรัสกับเสิ่นว่านจือเช่นนี้ มิได้กล่าวต่อหน้าซ่งซีซี เพราะหากกล่าวกับผู้อื่นก็เป็นเพียงการรำพึงถึงชีวิต แต่หากกล่าวกับซ่งซีซี ก็คงไม่ต่างจากการราดเกลือลงบนบาดแผล บัดนี้ พระนางก็รักและเอ็นดูลูกสะใภ้ผู้นี้แล้ว ย่อมไม่อยากให้ต้องเจ็บปวดแม้แต่น้อย เมื่อมองดูซ่งซีซีที่มาขอลา พระนางก็อดคิดไม่ได้ เมื่อนึกย้อนกลับไป ตอนแรกพระนางคัดค้านการแต่งงานนี้อย่างถึงที
เดือนเจ็ดอันร้อนระอุ ราชสาส์นจากซีจิงก็มาถึง จักรพรรดิ์ซีจิงทรงสละราชบัลลังก์ องค์หญิงผู้สูงศักดิ์เหลิ่งอวี้ขึ้นครองราชย์ ทรงใช้อำนาจบริหารแผ่นดินและเปลี่ยนชื่อแคว้นเป็นหยวนซิน พระนางมีพระราชโองการเชิญแคว้นซางส่งทูตเข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเจรจาเรื่องเขตแดนร่วมกัน แท้จริงแล้ว หยวนซินฮ่องเต้ได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว พิธีราชาภิเษกเป็นเพียงข้ออ้าง สิ่งที่ต้องเจรจากันจริงๆ ก็คือปัญหาเขตแดน เมื่อครั้งที่คณะทูตซีจิงมาเยือนแคว้นซาง จุดประสงค์หลักก็คือปัญหาเขตแดน แต่เนื่องจากเกิดความวุ่นวายภายในแคว้น ทำให้เรื่องนี้ต้องถูกระงับไว้ชั่วคราว และนี่คงเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในพระทัยของหยวนซินฮ่องเต้มากที่สุด ดังนั้น ทันทีที่พระนางขึ้นครองราชย์ ก็ทรงรีบเร่งดำเนินการเปิดการเจรจาขึ้นอีกครั้ง ในที่ประชุมราชสำนัก ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า บัดนี้ความบาดหมางระหว่างสองแคว้นได้คลี่คลายลงแล้ว การเจรจาในขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น สิ่งใดที่ต้องรักษาไว้ ก็ต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อรักษามันไว้ ปัญหาเขตแดนอาจไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ตราบใดที่สามารถรักษ
ที่จวนเป่ยหมิงอ๋อง ซ่งซีซีและเฉินเฉินก็กำลังสอนเสี่ยวหมิงซีและหวังจืออวี่ฝึกวรยุทธ์ โดยส่วนใหญ่เป็นเฉินเฉินที่สอนเสี่ยวหมิงซี ส่วนซ่งซีซีกับหวังจืออวี่ก็เพียงอยู่ร่วมฝึกด้วย จวนกองกำลังเมืองหลวงแม้จะยุ่งวุ่นวาย แต่ดูเหมือนว่าวันเวลาจะค่อยๆ ช้าลง ทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงตามไปด้วย ไม่ว่าเวลาที่ปราศจากความระแวงเช่นนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน ตราบใดที่ยังมี ก็จงใช้มันให้คุ้มค่าทุกวัน สิ่งเดียวที่นางกังวลคือสุขภาพของศิษย์น้อง แม้ว่าร่างกายของเขาจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ก็เคยบาดเจ็บสาหัสมาก่อน การทำงานหนักเช่นนี้ทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทั้งกินอาหารไม่เป็นเวลา กินยาก็ไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นสิ่งที่ทำให้นางอดเป็นห่วงไม่ได้ หมั่นโถวเดินมาตามระเบียง มาหยุดข้างซ่งซีซีแล้วกล่าวว่า "จือจือบอกว่า คืนนี้ไม่กลับมา" "อืม" ซ่งซีซีพยักหน้า แม้จะไม่ได้กล่าวอะไรโดยตรง แต่ซ่งซีซีรู้ว่า นางกลับไปทำสิ่งที่เคยทำอีกครั้ง เรื่องนี้ พวกนางจะไม่พูดคุยกันโดยตรง มีเพียงประโยคเดียวที่เคยกล่าวกันไว้ ในเมื่อมือเคยเปื้อนเลือดแล้ว ก็ควรปล่อยให้เลือดของคนชั่วหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้แดงฉานยิ่งขึ้น
บัดนี้ เรื่องขององค์ชายทั้งหลาย จักรพรรดิ์ซูชิงมักปรึกษากับเซี่ยหลูโม่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซี่ยหลูโม่มักจะมาสอนหนังสือในช่วงค่ำ หลังจากสอนเสร็จก็จะอยู่เป็นเพื่อนระหว่างที่พระองค์ฝังเข็ม เมื่อสนทนากันมากขึ้น ความเป็นพี่น้องก็แน่นแฟ้นขึ้น ความหวาดระแวงลดลง และความเข้าใจก็มีมากขึ้น แน่นอนว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เซี่ยหลูโม่เป็นคนเปิดเผย ซื่อสัตย์ในถ้อยคำ ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับซ่งซีซี เขาก็มักจะพูดตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังอะไร เมื่อได้อยู่ใกล้กัน จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น หากมีปัญหาใดก็สามารถพูดคุยกันได้โดยตรง มิใช่ต่างฝ่ายต่างคาดเดาไปเองเช่นแต่ก่อน แต่ถึงอย่างนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงก็ทรงตระหนักว่า สิ่งที่ทำให้พระองค์สามารถเปลี่ยนแนวคิดเช่นนี้ได้ เป็นเพราะซ่งซีซีดุด่าให้พระองค์ตื่นจากความคิดของตัวเอง พระองค์จึงเรียนรู้ที่จะใช้สายตาของพี่ชายมองเซี่ยหลูโม่ มิใช่เพียงแค่จักรพรรดิ์มองขุนนาง เมื่อหมอมหัศจรรย์ทำการฝังเข็มเสร็จแล้วก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน เซี่ยหลูโม่จึงพยุงจักรพรรดิ์ซูชิงให้ลุกขึ้นเดินช้าๆ โดยมีอู๋ต้าปั้นติดตามอยู่ห่างๆ ยามค่ำคืนในอุท
ฮองเฮาเสด็จกลับตำหนักฉางชุน แต่ยังมิทันได้กระวนกระวายนาน จักรพรรดิ์ซูชิงก็เสด็จมาถึง พระองค์ทรงนำเหล่าองครักษ์เหล็กดำมาด้วย และตรัสสั่งให้ปิดล้อมตำหนักฉางชุนโดยสิ้นเชิง มีเพียงหลานเจี่ยนกูกูที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในตำหนัก อู๋ต้าปั้นถือของสองอย่างเข้ามา หนึ่งในนั้นคือผงพิษขับแมลงที่ฮองเฮาให้แก่องค์ชายใหญ่ในวันนั้น เมื่อวางไว้บนโต๊ะต่อหน้าฮองเฮาแล้วเชิญให้ทอดพระเนตร นางพลันชะงักค้างอยู่กับที่ ทั้งพระทัยเย็นเยียบจนหนาวสะท้านทั่วร่าง ริมพระโอษฐ์สั่นระริกมิอาจเอื้อนเอ่ย หลานเจี่ยนกูกูเห็นเช่นนั้นก็ทรุดกายลงคุกเข่า เสียงร้องไห้สั่นเครือ "ฝ่าบาท โปรดอภัยให้บ่าวด้วยเพคะ ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำของบ่าวแต่เพียงผู้เดียว พระนางหาได้ล่วงรู้ไม่" จักรพรรดิ์ซูชิงมิได้เหลือบแลหลานเจี่ยนกูกูแม้แต่น้อย พระองค์เพียงประทับบนพระเก้าอี้แล้วตรัสกับอู๋ต้าปั้นว่า "ให้ฮองเฮาทอดพระเนตรราชโองการ ไม่ต้องประกาศ" อู๋ต้าปั้นรับคำ จากนั้นจึงคลี่ราชโองการออกเป็นสิ่งที่สอง เมื่อโองการถูกนำไปเบื้องหน้าฮองเฮา พระเนตรของพระนางจับจ้องเพียงสองบรรทัดก็ราวกับได้เห็นปีศาจร้าย นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง "ไม่!" ร่า