องค์หญิงใหญ่กัดฟันแน่นและพูดสามคำออกมาว่า "ซ่งซีซี"ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ สนมฮุ่ยไทเฟยก็ก้มหน้าลงอีก และสายตาของนางก็เริ่มเหม่อลอยนางได้ส่งคนไปติดตามซ่งซีซี เพื่อดูว่านางได้ไปที่จวนองค์หญิงใหญ่หรือไม่ แต่ยังไม่ทันคนของนางกลับมารายงานเลย องค์หญิงใหญ่เข้าวังก่อนแล้ว ยังเรียกนางมาด้วยเมื่อเห็นท่าทีขององค์หญิงใหญ่ สนมฮุ่ยไทเฟยไม่จำเป็นต้องฟังคำรายงาน ก็สามารถมั่นใจได้ว่าซ่งซีซีไปที่จวนองค์หญิงแล้ว และยังพูดคำรุนแรงกับองค์หญิงใหญ่ แต่น่าจะเป็นคำพูดที่ทำให้ตนเองสะใจแน่ๆไม่รู้ว่าได้พูดอะไรไปบ้าง? สามารถทำให้ยายแก่ปากร้ายนี้โกรธมากเช่นนี้ ไม่เคยเห็นนาง เข้าวังเพื่อตามหาฮ่องเต้ออกหน้าแทนนางมาก่อนเลยไทเฮาขมวดคิ้ว "ซ่งซีซี นางเป็นอะไร เหตุใดต้องให้ฮ่องเต้ออกคำสั่งไปลงโทษนาง?"องค์หญิงใหญ่พูดด้วยความโกรธว่า "นางบุกรุกเข้าจวนของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตเลย ยังพูดจาหยาบคายกับข้า"ไทเฮาเป็นคนเข้าข้างซ่งซีซีมากที่สุดแล้ว และนางก็ไม่ถูกคอกับองค์หญิงใหญ่ นางกล่าวว่า "นางบุกรุกเข้าไปจวนของเจ้า เจ้าก็สั่งให้คนไล่นางออกก็ได้แล้วนี่ ส่วนนางพูดจาหยาบคาย นางหยาบคายยังไง เจ้าว่ามาให้ฟังหน่อยสิ"องค์หญิ
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้นวดมือเบาๆ ก่อนพูดว่า "เสด็จอาใจเย็นๆ ก่อนที่นางบุกเข้าไปในจวนองค์หญิงและด่าทอท่านมันไม่เหมาะจริงๆ และเสียบุคลิกที่เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของตระกูลชั้นสูง นางได้ด่าทอท่านยังไง มีใครเป็นพยานได้หรือไม่ ท่านบอกกับข้า ข้าจะคืนยุติธรรมกับท่านแน่นอน ส่วนเรื่องที่นางใส่ร้ายท่านมอบอนุสรณ์พรหมจรรย์ให้นั้น ข้าจะสั่งให้สำนักเขตจิงจ้าวไปตรวจสอบ หากสืบเจอว่ามันเป็นเรื่องโกหกเพื่อใส่ร้ายท่าน ข้าจะลงโทษนางในรวดเดียวเลย""พยานเหรอ? มีมากมาย ทุกคนในจวนขององค์หญิงก็สามารถเป็นพยานได้ ว่านางบุกเข้ามาและองครักษ์ก็ไม่สามารถหยุดนางได้ ส่วนที่เรื่องที่นางด่าทอข้า คนในจวนขององค์หญิงก็ได้ยินเช่นกัน"นางหยุดชะงัก "สำหรับให้สำนักเขตจิงจ้าวไปตรวจสอบเรื่องอนุสรณ์พรหมจรรย์นั้น ไม่จำเป็นจริงๆ จะเสียแรงไปตรวจอย่างนั้น เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่เข้าไปอีก ประชาชนต่างก็โง่ พอเห็นสำนักของรัฐไปตรวจสอบก็คิดว่าเป็นเรื่องจริง ถึงสุดท้ายพิสูจน์ได้ว่าข้าไม่ได้ทำ แต่ก็ยากที่จะชี้แจงได้"ไทเฮาถามอย่างหงุดหงิดมากทีเดียว "ตกลงว่านางด่าทอเจ้าอะไรบ้าง เจ้าพูดมาสิ"องค์หญิงใหญ่ทำหน้าบูดบึ้ง "ไม่สำคัญว่านางได้ด
เมื่อเห็นสีหน้าขององค์หญิงใหญ่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง และจากสีแดงเป็นซีดเผือด สนมฮุ่ยไทเฟยรู้สึกสะใจอย่างยิ่ง ในที่สุดก็ถึงเวลาที่นางโดนเอาเปรียบแต่กลับหาคนช่วยไม่ได้แม้ว่าสนมฮุ่ยไทเฟยจะไม่เข้าใจว่าทำไมเอาผิดซ่งซีซีด้วยเหตุผลนี้ ข้อกล่าวหาเรื่องการไม่เคารพราชวงศ์ก็ไม่ใช่ผิดเบาๆแต่องค์หญิงใหญ่กลับเงียบลงไป เห็นได้ชัดว่านางไม่สามารถลงโทษนางด้วยข้อกล่าวหานี้ได้ต้นสายปลายเหตุในเรื่องนี้ ต้องหาเวลาไปถามพี่สาวอีกทีนางถึงเข้าใจ แต่ก็ไม่ส่งผลทำให้นางชื่นชมสีหน้าเขียวคล้ำถมึงทึงขององค์หญิงใหญ่ในตอนนี้ในที่สุดองค์หญิงใหญ่ก็จากไปด้วยความโกรธ แต่การเข้าพระราชวังครั้งนี้ทำให้นางเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเหตุผลที่ซ่งซีซีกล้าบังอาจเช่นนั้น เป็นเพราะมีไทเฮาและฮ่องเต้เป็นที่พึ่งให้ มิใช่แค่เซี่ยหลูโม่คนเดียวไม่น่าแปลกใจเลยที่นางกำเริบเสิบสานหลังจากที่องค์หญิงใหญ่เสด็จจากไป ฮ่องเต้ก็จับหน้าผากของเขาแล้วถอนหายใจเบาๆ "ดูเหมือนว่าเหตุการณ์อนุสรณ์พรหมจรรย์จะเป็นเรื่องจริง เสด็จอาทำมากเกินไปแล้วจริงๆ"ไทเฮาทำหน้าบูดบึ้ง "ขนาดข้าก็อยากตบนาง ทั้งหยิ่ง โง่เขลา เลวทรามและเห็นแก่ตัว นางทำให้ราชวงศ์เส
ทำไมไทเฮาถึงไม่รู้ว่าน้องสาวของตนเองคิดอะไรอยู่? ดังนั้นเวลานี้แค่เตือนสักหน่อย "อีกสักพักเจ้าจะไปที่จวนอ๋อง เพื่ออาศัยอยู่กับโม่เอ๋อแล้ว หากเจ้าไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ในจวน ก็อย่ายึดอำนาจมาดูแล หลังซีซีแต่งเข้าจวนอ๋องนางจะจัดการ…""พี่สาว ที่พี่พูดนั้นใช้ไม่ได้นะ" สนมฮุ่ยไทเฟยขัดจังหวะไทเฮา และพูดอย่างจริงจังที่ปกติไม่ค่อยทำเช่นนี้ "มีที่ไหนลูกสะใภ้เพิ่งแต่งเข้ามาก็ให้ดูแลบ้าน ข้าไม่ไว้ใจนาง พวกเราเป็นพี่น้องกัน ข้าไม่กลัวที่จะพูดตรงๆ ออกมา ข้าไม่ชอบนาง และข้าไม่อยากให้นางเป็นสะใภ้ของข้า ยิ่งไม่ต้องการให้นางมาดูแลเรื่องของจวนอ๋องเลย""โอ้? งั้นเจ้าจะดูแลเองหรือ?" ไทเฮาเลิกคิ้ว "ก็ได้นี่ เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ ข้าจะให้หวงโฮ่วมอบสิทธิ์ให้เจ้ามาร่วมจัดการวังหลังและปล่อยให้นางได้พักผ่อนบ้าง เจ้าลองดูแลสักสองสามวันดูก่อน""หาใช่ว่าน้องไม่ใช่ไม่เคยดูแลเรื่องในวังเลย หวงโฮ่วเป็นผู้ดูแลฝ่ายใน ข้าก็เคยช่วยไปไม่น้อย นอกจากนี้ ตอนที่พี่ดูแลเรื่องวังหลัง น้อยไม่ได้ช่วยอะไรหรือ?""ก็ช่วยแล้วแหละ ช่วยสร้างปัญหาให้ไง" ไทเฮาพูดอย่างไม่ไว้หน้าให้นาง "ท่านพ่อท่านแม่เอาแต่ตามใจเจ้า หลังจากที่เจ้าเข้าวัง
เรื่องนี้ทำโดยองค์หญิงใหญ่จริงๆ ในเมื่อไม่สามารถให้ฮ่องเต้ลงโทษซ่งซีซีด้วยข้อกล่าวหาว่าไม่เคารพราชวงศ์ได้ งั้นนางจึงควรสอนบทเรียนให้ซ่งซีซีในแบบของนางเองชาวเมืองในเมืองหลวงต่างก็ชื่นชมว่า นางเป็นคนมีกตัญญูไม่ใช่เหรอ? งั้นก็มาดูกันว่าลูกสาวออกเรือนในช่วงเวลาที่ไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อของนาง จะโดนประชาชนด่าหรือไม่ป้าหลู่ ผู้ดูแลจวนองค์หญิงเดินเข้าไปอย่างมีความสุขและรายงานว่า "องค์หญิง ท่านหญิง ตอนนี้ข่าวแพร่สะพัดไปข้างนอกหมดแล้ว โรงน้ำชาและร้านอาหารต่างพูดคุยเรื่องนี้ และเกือบเป็นคำด่าทอล้วนๆ""เกือบเหรอ ไม่ใช่ทั้งหมดหรือ?" ท่านหญิงเจียอี้ขมวดคิ้ว "มีผู้คนออกหน้าช่วยพูดให้นางด้วยหรือ?"ป้าหลู่พูดว่า "ท่านหญิง มีบางคนที่ไม่ได้เรื่องได้ช่วยพูดให้นาง โดยบอกว่าตอนที่นางออกเรือน เวลาผ่านไปยี่สิบสี่เดือนแล้วนับตั้งแต่ท่านพ่อของนางเสียชีวิต"เมื่อบิดาเสียชีวิตหรือมารดาเสียชีวิต บุตรควรไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปี ทว่าสามปีถือเป็นปีเท็จ แต่แท้จริงแล้วจะไว้ทุกข์ให้ยี่สิบสี่เดือนเต็มก็พอท่านหญิงเจียอี้ตรัสว่า "สามัญชนผู้ใดบ้างที่จะจำวันออกเรือนของนางได้เล่า อาจเป็นคนจากจวนเสนาบดีกั๋วกงของนางเพื่อมาทำใ
องค์หญิงใหญ่ยิ้มช้าๆ ใช่สิ ถึงเวลาไปหาบ่อเงินบ่อทองนี่เพื่อขอเงินแล้วสนมฮุ่ยไทเฟยจามอย่างรุนแรงในตำหนักฉางชุน เมื่อถึงตอนเที่ยง นางกำลังเตรียมตัวจะงีบหลับสักหน่อย กลับได้ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงเจียอี้มาขอพบแม่นมเกาขมวดคิ้ว พวกสองแม่ลูกนั้นมาพร้อมกัน ก็คงเดาออกว่ามาเพื่ออะไรไม่กี่ปีที่ที่แล้ว ท่านหญิงเจียอี้และพระสนมเต๋อกุ้ยไทเฟยได้ร่วมมือเปิดร้านขายเครื่องสำอาง และทำเงินได้มาหน่อยนึงสนมฮุ่ยไทเฟย ผู้ไม่ยอมแพ้ทุกเรื่องนั้น เมื่อได้ยินว่าพวกนางทำเงินได้ และอยากเปิดร้านเช่นกัน แต่นางไม่ต้องการเปิดร้านร่วมกับท่านหญิงเจียอี้ ต้องการร่มมือกับหลานของครอบครัวท่านพ่อแม่ตนเองมากกว่าทว่าท่านหญิงเจียอี้มาหานางถึงบ้าน โดยบอกว่ามีสูตรลับเฉพาะ และเรื่องสำอางที่นางทำออกมานั้นไม่ต้อยกว่าในวังแม้แต่น้อย อยากให้สนมฮุ่ยไทเฟยออกทุมสามพันตำลึง และทั้งสองคนก็ทำงานร่วมกันเพื่อเปิดร้านขายเครื่องสำอางสนมฮุ่ยไทเฟยย่อมไม่ไว้วางใจท่านหญิงเจียอี้ได้ ดังนั้นองค์หญิงใหญ่จึงออกหน้า และนางพูดประชดประชนสนมฮุ่ยไทเฟยยกใหญ่ โดยบอกว่าก็แค่เป็นห่วงเจียอี้มาหลอกให้นางออกเงิน ไม่ไว้ใจสองแม่ลูกพวกนางพวกนั้น
เงินที่เอามาจาสนมฮุ่ยไทเฟย องค์หญิงใหญ่ก็แบ่งออกไปก้อนนึง โดยสั่งให้นักเล่าเรื่องในโรงเตี๊ยมและร้านอาหารยังคงใส่สีตีไข่กับเรื่องที่ซ่งซีซีไร้ความกตัญญูเมื่อเห็นว่าจวนเสนาบดีกั๋วกงไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด ถึงขนาดปิดประตูไม่ออกไปไหน องค์หญิงใหญ่เลยคิดว่านางกลัวการด่าทอข้างนอก นางรู้สึกสะใจอย่างยิ่งการต่อต้านกับนาง ก็เหมือนกับการตีก้อนหินด้วยไข่นางฉวยโอกาสเข้าวังไปพบฮ่องเต้ โดยบอกกับฮ่องเต้ว่าให้เซี่ยหลูโม่แต่งงานกับซ่งซีซีเท่ากับสร้างความหวังให้เขาได้แย่งชิงบัลลังก์ของเขาจริงๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ ควรห้ามซ่งซีซีแต่งเข้าจวนเป่ยหมิงอ๋องเดิมทีนางคิดว่าฮ่องเต้จะคิดอย่างลึกซึ้งหลังจากได้ยินสิ่งนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าเขาทำหน้าเย็นชา "เสด็จอาพูดอะไร ทั้งน้องชายและซีซีต่างเป็นแม่ทัพ ได้ฟื้นฟูเขตหนานเจียงกลับคืนมาและปกป้องประเทศ พวกเขาภักดีต่อข้าและราชสำนัก นอกจากนี้ น้องชายกับข้าเป็นพี่น้องกันและเราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก น้องจะไม่ทำเรื่องแบบนั้น เสด็จอาอย่าคิดแบบมั่วๆ"องค์หญิงใหญ่สะดุ้ง จากนั้นจึงวางท่าเป็นอาขึ้นมา แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า "โง่จัง ใจคนจะไว้ใจได้อย่างไร? เรื่องที่รา
มีลูกค้าที่ดื่มชาจำคนได้ คนที่กำลังพูดด้วยความโกรธก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากท่านโหราแห่งสำนักเสียงสนทนาระเบิดขึ้นทันที วันอันเป็นมงคลที่ท่านโหราเลือกเองจะอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ได้อย่างไรท่านโหราชี้ไปที่นักเล่าเรื่องที่กำลังตกตะลึงและพูดด้วยความโกรธเคืองว่า "ผู้ใดสั่งให้เจ้ามาใส่ร้ายจวนเสนาบดีกั๋วกง วีรบุรุษทั้งเจ็ดของเสนาบดีกั๋วกงซ่ง ล้วงเสียชีวิตในสนามรบที่เขตหนานเจียง แม่ทัพซ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพ ได้สร้างผลงานที่สนามรบไม่น้อย ช่วยท่านเป่ยหมิงอ๋องฟื้นฟูเขตหนานเจียง ขอแค่เป็นประชาชนที่มีความรักต่อบ้านเมืองของแคว้นซางบ้าง ต่างก็จะนับถือจวนเสนาบดีกั๋วกงอย่างยิ่ง เจ้ากลับอยู่ที่นี่มาใส่ร้ายป้ายสีแบบนี้ หาว่าแม่ทัพซ่งไม่มีความกตัญณู เจ้ามีเจตนาอะไรฮะ"มีคนคาดเดาเสียงดังว่า "เกรงว่าคงจะเป็นสายลับศัตรูที่จงใจมาใส่ร้ายแม่ทัพซ่งสินะ?"อีกคนหนึ่งก็พูดเสริมเสียงดัง "เป็นไปได้จริงๆ ทุกคนลืมไปแล้วเหรอ? ตระกูลซ่งทั้งหมดถูกสายลับจากเมืองซีจิงฆ่าตาย บางทีเขาอาจเป็นสายลับเมืองซีจิงที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นซางของเรา รีบไปรายงานแจ้งสำนักรัฐได้เลย"นักเล่าเรื่องตื่นตระหนกอย่างยิ่งและโบกมือ
ในที่สุด ค่ำวันนั้นความขัดแย้งก็ปะทุรุนแรงขึ้นกรมดูแลทางน้ำมีทหารคุมกำกับแรงงานอาญาให้ทำงาน ด้วยเมื่อวานฝนเทกระหน่ำทำให้หยุดงานไป วันนี้ครั้นฟ้าอึมครึมไร้ฝน จินชางหมิงจึงสั่งให้คนงานเร่งงานให้เร็วกว่ากำหนดถึงสามวันคนงานไม่ยินยอม เกิดปะทะคารมกับคนของกรมดูแลทางน้ำ จินชางหมิงโมโหจึงสะบัดไม้กระบองฟาดลงไปที่คนงานผู้หนึ่ง เพียงไม้เดียวนี้ทำให้เหล่าคนงานโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดนับร้อยคนกรูเข้ารุมทำร้ายข้าราชการของกรมทางน้ำ โชคดีที่ซ่งซีซีวางคนเฝ้าดูอยู่รอบด้าน เมื่อเหตุเกิดขึ้น จึงมีผู้รีบไปแจ้งลู่เจินลู่เจินแม้กังวลว่านี่อาจเป็นอุบายของอีกฝ่าย แต่จากการสืบสวนพบว่าไม่ใช่แรงงานอาญาทั้งหมดเป็นคนของหนิงจวิ้นอ๋อง พวกที่ถูกยุยงให้ปะทะกับข้าราชการกลุ่มนี้อาจเป็นเพียงคนงานธรรมดาเท่านั้นดังนั้น เขาจึงนำคนไปห้ามทัพด้านหนึ่ง อีกด้านส่งคนไปกราบทูลใต้เท้าซ่งซ่งซีซีเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว ยามราตรีเมืองหลวงจะประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน หากยังชกต่อยกันไม่เลิกรา เกรงว่าศัตรูจะฉวยโอกาสปะปนก่อเหตุได้ง่ายนางจึงสั่งให้ปี้หมิงนำกองกำลังเมืองหลวงไป ด้านหนึ่งก็ส่งคนแจ้งโหวเซวียนผิงให้เรียกตัวจินชางหมิงกลับมาแล้วกั
ครั้งนี้เหรินหยางอวิ๋นยังได้นำปืนใหญ่เข้ามาด้วยหนึ่งลำ ทว่าตอนนี้สามารถวางทิ้งไว้เพียงนอกเมือง ยังไม่อาจขนเข้าไปได้ปืนใหญ่นี้ดัดแปลงมาจากปืนใหญ่เสื้อฉาดของเป่ยถัง ในอดีตลานบ้านของอูโซเว่ยเคยถูกปืนใหญ่นี้ถล่มจนราบคาบมาแล้วผ่านไปอีกสองวัน เหล่าสำนักที่ได้รับเชิญในงานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อนล้วนเข้ามาในเมืองใเมืองาบหลากหลาย เพราะทราบดีว่าชาวยุทธ์จะถูกสอบถามอย่างยืดเยื้อ จึงพากันปลอมแปลงตัวกันหมดเหรินหยางอวิ๋นจงใจคัดเลือกคนของเขาเหลิ่งเยว่ ให้ไปเฝ้าระวังผลัดเวรกันที่จวนกองกำลังเมืองหลวง และจวนเป่ยหมิงอ๋องที่ทำเช่นนี้เพราะมีเหตุผลอยู่ คนของเขาเหลิ่งเยว่ไม่ค่อยปรากฏตัวในยุทธภพ เมืองหลวงยิ่งไม่ได้ย่างกราย หนิงจวิ้นอ๋องคงไม่เคยพบพวกเขา ให้พวกเขามาคอยปกป้องซ่งซีซีอย่างลับๆ เช่นนี้ย่อมวางใจได้มากกว่าเหรินหยางอวิ๋นมั่นใจนักว่าก้าวต่อไปของหนิงจวิ้นอ๋องคือสังหารซีซี ถ้าไม่นับสิ่งที่เขาคาดเดาพลาดไปบ้าง เขานั้นไม่เคยคาดเดาพลาดเลยเขาจัดเลี้ยงที่ตึกว่างจิง เชิญทุกคนมากินดื่มมื้อหนึ่ง เรื่องสำคัญย่อมต้องสนทนากับพวกเขาเป็นการส่วนตัว“เรื่องอื่นพวกเราอย่าเพิ่งใส่ใจ ก่อนอื่นต้องคุ้มครองความปลอดภ
พวกเขาเข้ามาในเมืองแล้ว เพราะมีขบวนค้าจากที่อื่นตามมาอีก เขาจึงไปตรวจสอบขบวนพ่อค้าวาณิชเหล่านั้นให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหา จึงปล่อยพวกเขาผ่านทว่าขณะหันศีรษะไป เขากลับเห็นขบวนค้าติดตามกลุ่มคนเมื่อครู่นั้นเดินไปด้วยกัน ในหมู่บุคคลเหล่านั้นมีอยู่หนึ่งคนที่หันหลังให้อย่างคุ้นตายิ่ง ดูประหนึ่งเป็นอาจารย์อาแห่งสถาบันว่านซงเหมินอาจารย์อาผู้นั้นดูเหมือนจะชื่ออูโซเว่ย แต่ก็นะ แค่ส่วนที่เห็นจากด้านหลังก็ละม้ายคล้าย ส่วนใบหน้าหากลองนึกดูแล้วกลับไม่เหมือนเลยสักนิดอย่างไรก็ดี เขายังคงตัดสินใจส่งคนไม่กี่คนให้สะกดรอยตามขบวนพ่อค้า เพื่อสังเกตดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ครั้นผ่านไปครึ่งชั่วโมง มีข่าวว่าพวกเขาพักอยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่งบนถนนตงหลัน แถบนั้นล้วนเป็นที่พำนักของขุนนางและตระกูลทรงอำนาจ แม้พ่อค้ามั่งคั่งแค่ไหนก็ยากจะซื้อบ้านเรือนตรงนั้นได้ปี้หมิงส่งคนไปสืบความ จึงรู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาเข้าพักนั้นคือคฤหาสน์ของอ๋องต่างสกุล ซึ่งถูกปล่อยร้างมานาน ไม่มีผู้พำนัก ได้ยินว่าเจ้าของเดิมเดิมย้ายไปตั้งรกรากที่อื่นนานแล้วปี้หมิงรู้สึกเหมือนมีลับลมคมในอะไรสักอย่าง แต่ครุ่นคิดแล้วก็คิดไม่ออกสมองมืดมนว่างเ
ทางฝั่งหนิงโจวมีข่าวส่งมาว่า หนิงจวิ้นอ๋องตัวปลอม ถูกเปิดโปงแล้ว เขาเป็นเพียงชายธรรมดาที่มีหน้าตาคล้ายหนิงจวิ้นอ๋อง เดิมทีเป็นราษฎรคนหนึ่ง ถูกหนิงจวิ้นอ๋องพาตัวไปยังจวน ฝึกฝนให้เลียนแบบอิริยาบถทุกกระเบียดนิ้วของหนิงจวิ้นอ๋องเมื่อหนิงจวิ้นอ๋องละทิ้งหนิงโจว ตัวปลอมผู้นี้จึงกลายเป็นร่างแทน ออกไปยังสถานที่ที่หนิงจวิ้นอ๋องโปรดปราน นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมเมื่อตรวจสอบในคราแรก จึงกล่าวกันว่าหนิงจวิ้นอ๋องแทบไม่เคยออกจากแดนศักดินาของตนที่แท้แต่แรกเริ่ม เขาได้ปลอมแปลงอำพรางตัว ตระเวนเคลื่อนไหวไปทั่วทุกสารทิศ“ควบคุมตัวชายผู้นั้นไว้แล้วหรือไม่?” ซ่งซีซีรีบเอ่ยถามทันที “วางใจได้ นำตัวคนไปแล้ว” อาจารย์หยูตอบ ซ่งซีซีผ่อนลมหายใจเบาๆ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว หนิงโจวจะได้ไม่มีหนิงจวิ้นอ๋องปรากฏขึ้นอีก ข้านับว่ามองเห็นกลอุบายของหนิงจวิ้นอ๋องแจ่มชัด เขาซ่อนตัวภายใต้นามลุงกวน คำสั่งทั้งหมดส่งออกจากจวนอ๋องฮุย ดังนั้นคนที่ทุกฝ่ายรู้จักว่าเป็นกบฏก็คืออ๋องฮุย ซึ่งเขาอยู่ที่หนิงโจวมาตลอด ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏเลยสักนิด”อาจารย์หยูกล่าว “ใช่แล้ว หากพลาดพลั้ง ทุกอย่างก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขายังสามารถอ้างว่า
ซ่งซีซีร่วมปรึกษาราชการต่อเนื่องกันหลายวัน นางจึงเข้าใจวาจาของเสนาบดีอย่างแท้จริง บางเรื่องมีผู้เห็นต่างกันมากมาย ล้วนมีเหตุผลในแบบของตน ถกเถียงกันไม่หยุดหย่อน จะมีผู้เห็นด้วยหรือคัดค้านอย่างไรก็ไม่อาจนำไปสู่ข้อชี้นำชัดเจนนางรู้สึกว่าตนไม่อาจเข้าร่วมการประชุมอีกต่อไป หลายวันที่ผ่านมานางถูกกระแสความเห็นนับไม่ถ้วนห้อมล้อม จนไม่อาจตัดสินใจว่าจะขยับก้าวไปทางใดยิ่งไปกว่านั้น พระอาการของฝ่าบาทก็ยังไม่ทุเลาสิ้น พระองค์ทรงไอไม่หยุด ต้องฝืนพระวรกายไว้ มีคนฉวยโอกาสกระตุ้นให้แต่งตั้งรัชทายาทในเวลานี้ผู้ที่เสนอความเห็นนี้คือเหล่าศิษย์ที่เคยเป็นคนของเจ้ากรมฉี เป็นขุนนางหนุ่มซึ่งเดิมทีถูกฮองเฮาฉีโน้มน้าวให้ช่วยผลักดันเรื่ององค์รัชทายาท ครั้นเห็นฝ่าบาทประชวร แผ่นดินมีภัยรอบด้าน จึงฉวยจังหวะเสนอให้รีบกำหนดองค์รัชทายาทโดยเร็วเจ้ากรมฉีโกรธจนใบหน้าถอดสี แม้จะขอคัดค้านเต็มกำลังต่อเบื้องพระพักตร์ แต่กลับทำให้คนมองว่าการถอยนี้คือการรุกอีกรูปแบบหนึ่ง หรืออาจเป็นการปัดความรับผิดชอบอย่างเต็มที่เพราะเรื่องนี้ จักรพรรดิ์ซูชิงถึงกับสำรอกโลหิตอีกครั้ง ทำให้ทุกคนร้อนใจอลหม่านปั่นป่วนยิ่งนักซ่งซีซีจึงอ้า
สถาบันว่านซงเหมินเข้มงวดในการรับศิษย์นัก ด้วยเหตุนี้ศิษย์แท้จริงของเหรินหยางอวิ๋นจึงไม่ได้มีมากมาย รวมทั้งผู้ที่จากสถาบันไปแล้วด้วย รวมทั้งสิ้นมีเพียงสิบห้าคนเท่านั้นส่วนศิษย์ที่ออกจากสถาบันว่านซงเหมินไปนั้น ไม่ใช่ว่าทรยศต่อสำนัก เพียงแต่ต่างก็มีเส้นทางเติบโตของตนเองเหรินหยางอวิ๋นเป็นคนไม่ได้คร่ำครึ เขาอนุญาตให้ศิษย์ของตนทำสิ่งที่อยากทำได้ตามใจ แต่มีเงื่อนไขว่าอย่าได้ก่อความเดือดร้อนแก่ราษฎรและคนดีมีคุณธรรมหลายวันก่อน เขาได้ใช้วิธีส่งหนังสือโดยนกพิราบถึงเหล่าศิษย์ที่จากสำนักไปแล้ว บัดนี้แต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงฐานะ เมื่อได้ยินอาจารย์เรียกหา พวกเขาล้วนจะมุ่งหน้าไปเมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือศิษย์น้องหญิงในสถาบันว่านซงเหมินยังมีศิษย์อื่นๆ อยู่อีก เพียงแต่เรียกขานรวมๆ ว่าศิษย์ แต่ไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงของเหรินหยางอวิ๋น เขาเพียงชี้แนะในบางคราวเท่านั้น ส่วนผู้ที่สั่งสอนวิชายุทธ์จริงจังคือสองผู้อาวุโสผู้เชี่ยวชาญในสถาบันว่านซงเหมิน และบางครั้งศิษย์สายตรงของเหรินหยางอวิ๋นก็คอยช่วยสอนบ้างวิทยายุทธ์ของพวกเขาไม่นับว่าแย่ แต่ในชีวิตประจำวันต้องรับหน้าที่ทำงานอื่นๆ จึงไม่อาจทุ่มเททั้งใจจดจ่อฝึกว
สถาบันว่านซงเหมิน ณ เขาเหมยซานวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเหรินหยางอวิ๋น ทว่าอูโซเว่ยกลับกล่าวว่ายังไม่ใช่แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาต้องการความครื้นเครง จึงได้ส่งเทียบเชิญไปยังบรรดาสำนักบนเขาเหมยซาน รวมถึงพรรคในยุทธภพที่พอจะมีไมตรีกันอยู่บ้างล่วงหน้าหลายวัน จัดเลี้ยงเกินสามสิบโต๊ะอูโซเว่ยลงมือจัดเตรียมงานเลี้ยงวันประเกิดนี้ด้วยตนเองเรื่องราวภายในสถาบันว่านซงเหมิน ส่วนมากล้วนเป็นเขาที่ลงมือจัดการเอง เขา อูโซเว่ย ไม่ถือสาหากต้องลำบากสักหน่อย แต่ที่ทำให้เขาคิดว่ามีปัญหาก็คือ คราวนี้ศิษย์พี่กลับระบุในเทียบเชิญว่าห้ามนำของขวัญอวยพรวันเกิด มันลำบากเกินไปจริงๆสถาบันว่านซงเหมินมั่งคั่งก็จริง แต่ไม่อาจลดเกียรติตนเองเช่นนี้ แม้ไปดื่มสุรามงคลหรือสุราวันเกิดของผู้อื่นก็ใช่ว่าจะไปมือเปล่า ของขวัญกับน้ำใจย่อมขาดไม่ได้ศิษย์พี่ก็เป็นบุรุษที่เงินทองมากจนคันมือคันไม้ หากมิหาเหตุผลใดๆ เพื่อใช้จ่ายออกไปบ้าง ก็คงไม่อาจเป็นสุขกายใจทว่า ที่ทำให้อูโซเว่ยรู้สึกประหลาดใจก็คือ แต่ก่อนศิษย์พี่ไม่ค่อยชอบคบหาผู้คน ถึงมีเรื่องน่ายินดีก็เพียงเอ่ยวาจาทักทายสองสามคำก็จบแต่วันนี้ต่างออกไป เห็นเขาใช้โอกาสข
ท่านอ๋องฮุยมองถ้วยที่แตกกระจายอยู่บนพื้น เศษชิ้นส่วนแม้จะไม่คมมาก แต่หากใช้กรีดข้อมือก็น่าจะทำได้ เขาค่อยๆ ก้มลงเก็บเศษถ้วยชิ้นหนึ่งขึ้นมา แต่ทันใดนั้นมือของเขาก็ถูกคว้าไว้ "ฝ่าบาท โปรดระวังมือได้รับบาดเจ็บ" ข้อมือของเขาถูกบีบจนเจ็บปวด เศษถ้วยในมือก็ถูกแย่งไปในทันที คนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีดำสนิท แม้แสงจากโคมไฟสะท้อนก็ไม่ปรากฏแสงใดจากชุดของเขา ในจวนแห่งนี้มีคนเช่นนี้อยู่มากเท่าใด เขาเองก็ไม่รู้ เขารู้เพียงว่า ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็มีความรู้สึกถูกจับตาดูอย่างหนักอึ้ง คนเหล่านี้ไม่เพียงมีวิทยายุทธ์สูงส่ง พลังภายในลึกล้ำ แต่ยังเก่งกาจเรื่องอาวุธลับ ต่อให้เขาพาเสิ่นว่านจือและคนอื่นๆ ออกไป ความรู้สึกกดดันนี้ก็ยังคงอยู่ เขาเคยหวังว่าเสิ่นว่านจือและคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นการมีอยู่ของคนเหล่านี้ แต่พวกเขากลับเหมือนอากาศที่อยู่ทุกหนแห่ง ทว่าไม่มีใครมองเห็นหรือสัมผัสได้ เหล่าทหารรับจ้างของอ๋องเยี่ยนเมื่อเทียบกับคนเหล่านี้แล้ว ช่างเหมือนขยะไม่มีค่า เมื่อคนผู้นั้นปล่อยมือ ข้อมือของเขาก็ช้ำเป็นรอยดำ มีรอยนิ้วมือสองรอยชัดเจน แม้แต่การตาย เขายังไร้หนทางทำให้สำเร็จ ดวงตาของท่านอ๋อง
ท่านอ๋องฮุยพ่นลมหายใจออกอย่างเย็นชา พลางเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมมองเขา หนิงจวิ้นอ๋องที่ยืนตัวตรงสง่างามอยู่ตรงนั้น แต่ใบหน้ายังคงเป็นของลุงกวน พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ลูกขอสัญญา สิ่งที่ลูกตกลงกับเสด็จพ่อไว้ ลูกจะทำให้สำเร็จ งานก่อสร้างคลองจะแล้วเสร็จโดยไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ ไม่ทำร้ายชาวบ้านในเมืองหลวง ไม่เหยียบย่ำพืชผลใดๆ และขอให้เสด็จพ่อวางใจ ลูกจะไม่ปล่อยให้เสด็จพ่อต้องตาย ลูกยังรับรองได้ว่า หลังจากชิงใต้หล้ามาได้ บัลลังก์จักรพรรดิ์จะต้องเป็นของเสด็จพ่อแน่นอน" ท่านอ๋องฮุยพูดเย้ยหยันว่า "เจ้านี่ช่างเป็นลูกกตัญญูยิ่งนัก" "ลูกเคยพูดแล้ว" หนิงจวิ้นอ๋องตอบอย่างจริงใจ "ลูกจะมอบตำแหน่งจักรพรรดิ์ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ให้เสด็จพ่อ เพื่อให้เสด็จพ่อปกครองแผ่นดิน เราจะไม่ถูกแคว้นซาข่มเหงอีกต่อไป ไม่ต้องยืดเยื้อเรื่องชายแดนกับชาวซีจิง ชาวบ้านจะได้ใช้ชีวิตสงบสุข และแคว้นซางของเราจะเจริญรุ่งเรือง" ท่านอ๋องฮุยสบถเสียงดัง "เจ้ากบฏที่สมคบคิดกับแคว้นซาซีจิง กล้าพูดคำพูดไร้ยางอายแบบนี้ออกมาได้ ช่างน่ารังเกียจที่สุด" "นั่นเป็นเพียงแผนชั่วคราว รอเสด็จพ่อขึ้นครองบัลลังก์ ลูกจะขับไล่ศัตรูและท