บนบัลลังก์ทองคำตรงกลางสุด เก้าอี้มังกรอันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุดเหนือแผ่นดินตั้งวางเด่นเป็นสง่า หลี่เฉินเดินขึ้นไปบนบัลลังก์ทองคำและมาถึงเก้าอี้มังกร เขายกมือวางบนเก้าอี้มังกร เพียงการกระทำนี้ หัวใจของขุนนางราชสำนักเต้นรัวจนแทบออกจากอก จ้าวเสวียนจีหรี่ตาลง จิตสังหารพุ่งทะยาน ซูเจิ้นถิงขมวดคิ้ว ค่อยข้างดูกังวลเก้าอี้มังกรทองคำบนแท่นสูงในท้องพระโรง มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่นั่งได้ ใต้หล้านี้ นอกจาฮ่องเต้ ไม่ว่าองค์รัชทายาท องค์หญิง หรือไทเฮาผู้มีสถานะสูงศักดิ์เพียงใด หากกล้าแตะต้อง ล้วนต้องตายไม่มีข้อละเว้นนี่คือกฎมนุษย์บรรพบุรุษ และเป็นหลักธรรมอันยิ่งใหญ่ไม่มีใครรู้ว่าหลี่เฉินเข้าใกล้บัลลังก์ด้วยความโลภ หรือเพียงต้องการสัมผัสรสชาติของอำนาจนั่งทั่วหล้า นั่งทั่วหล้า ก็คือนั่งลงบนบัลลังก์มังกร ชายใดไม่อยากบ้างทว่าขอเพียงหลี่เฉินนั่งลง แม้แต่ฮ่องเต้ต้าสิงลุกขึ้นจากเตียงในเวลานี้ ก็ช่วยหลี่เฉินจากความผิดมหันต์นี้ไม่ได้ ทุกคนจ้องมองหลี่เฉิน ไม่ยอมพลาดสักกิริยาบท บางคนตั้งตารอ บางคนกังวล ใจคนซับซ้อนและร้อนรน และแสดงออกมาอย่างสุดขีดในความเงียบงันนี้ทว่าหลี่เฉินมิใช่คนโ
ประเด็นแรกที่องค์รัชทายาทเปิดประชุมราชการเช้า คือการผลักดันซูเจิ้นถิงขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญเนื่องจากพัวพันคดีกบฏในอดีต ซูเจิ้นถิงจึงถูกฮ่องเต้ถอดถอนจากตำแหน่ง แม้จะยังคงมียศเป็นขุนนางสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่และราชาแห่งผู้ชนะ แต่ล้วนเป็นเพียงตำแหน่งลวงโดยปราศจากอำนาจใดๆยามนี้หลี่เฉินต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน ยิ่งไปกว่านั้น ซูเจิ้นถิงยังเป็นแม่ทัพที่ทรงอิทธิพลและได้รับการยกย่องอย่างยิ่งในกองทัพ เขาจึงมิอาจไม่เรียกใช้คนเช่นนี้ได้ทว่าข้อเสนอนี้ย่อมก่อให้เกิดเสียงคัดค้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มขุนนางฝ่ายพลเรือน“องค์รัชทายาท กระหม่อมขอคัดค้าน”หูเสี่ยนพีรองเสนาบดีกรมยุทธการออกมาคัดค้านเดิมทีเขาคือผู้ที่มีโอกาสสูงสุดที่จะรับตำแหน่งต่อจากเถิงไหวอี้ที่ถูกถอดถอน เพราะด้วยบารมีของซูเจิ้นถิงแล้ว หูเสี่ยนพีคงไม่มีวันได้ขึ้นเป็นเสนาบดีกรมยุทธการแน่นอน“ท่านแม่ทัพซูเป็นขุนนางสายพระญาติ ยศศักดิ์สูงส่งเกินกว่าตำแหน่งเสนาบดีกรมยุทธการที่เป็นเพียงขุนนางขั้นสอง หากเป็นเช่นนี้ มิใช่ขัดต่อระเบียบราชสำนักหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ขอองค์รัชทายาทได้โปรดไตร่ตรองอีกครั้งด้วย”หูเสี่ยนพีเป็นคนฉลาด เขาเข้าใจดีว่าซูเ
จักรวรรดิต้าฉินมีความคล้ายคลึงกับยุคก่อนที่หลี่เฉินจะทะลุมิติมาทั่วทั้งแคว้นแบ่งออกเป็นสิบสามเมือง แต่ละเมืองมีขุนนางสูงสุดเรียกว่าปลัด และการปกครองกับการทหารจะแยกออกจากกัน ทหารชั้นสูงสุดเรียกว่าผู้บัญชาการของกรมบัญชาการนอกเหนือจากสิบสามเมืองแล้ว ยังมีเขตปกครองนครบาลอย่างจื๋อลี่ใต้และเมืองหลวง ไม่มีผู้บัญชาการ แต่มีหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดและองครักษ์อวี่หลินที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้องครักษ์อวี่หลินมีทหารจำนวนสามหมื่นนาย หน่วยบัญชาการทหารสูงสุดปกครองกองซ้าย ขวา หน้า หลัง และกลาง รวมห้ากองทัพ โดยแต่ละกองมีทหารจำนวนหกหมื่นนาย ทำหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดในนามแล้ว มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการทหารทั่วหล้า เป็นหน่วยทางการทหารที่สูงที่สุดของจักรวรรดิต้าฉินทว่านับตั้งแต่การสถาปนาจักรวรรดิขึ้นมา เพื่อป้องกันการรวมศูนย์อำนาจทางทหารมากเกินไป ฮ่องเต้ทุกยุคสมัยจึงลดทอนอำนาจของหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดมาโดยตลอด เหลือไว้เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น จวบจนบัดนี้ หน่วยบัญชาการทหารสูงสุดได้เปรียบเสมือนสัตว์มงคลของหน่วยราชการ ฉะนั้น คำสั่งของหลี่เฉินที่ให้รวมพลทหารทั่งหล้า ก็เพื่อการนี
การต่อสู้ทางการเมือง ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการแสดงละครหลี่เฉินโยนก้อนอิฐล่อหยก ใช้ตำแหน่งเสนาบดีกรมยุทธการล่อสหายผู้โง่เขลาอย่างหูเสี่ยนพีติดกับ และยังมีหูหวังเถิงฮ่วนคอยสนับสนุนอีกด้วย ขณะที่สวมบทบาทตัวละครอย่างแนบเนียน หลี่เฉินใช้ไพ่ของหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดโจมตีกลุ่มพลเรือนจนตั้งตัวไม่ทัน รวมกับความช่วยเหลืออันน่าทึ่งของหูเสี่ยนพี ยามนี้ซูเจิ้งถิงได้เปรียบกว่า กลุ่มขุนศึกต่างสามัคคีกัน เป้าหมายของหลี่เฉินก็บรรลุไปเกินครึ่งแล้ว การเมืองเป็นเพียงการเล่นกับใจคนหูเสี่ยนพีที่ตกหลุมพลางยังไม่รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย เขารู้สึกเพียงว่าหายนะร้ายแรงกำลังจะมาถึง จึงล้มนั่งลงกับพื้น ใบหน้าซีดเผือดด้วยความตื่นตระหนก อ้อนวอนขอความเมตตาจากหลี่เฉิน "องค์รัชทายาทโปรดทรงเมตตาด้วย กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น” หลี่เฉินเหลือบมองหูเสี่ยนพีพลางเอ่ยเสียงราบเรียบ “รองเสนาบดีกรมยุทธการหูเสี่ยนพี พูดจาโอหังอวดดีในท้องพระโรง ดูหมิ่นวีรบุรุษ มัวเมาในอำนาจ ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของจริยธรรม ถอดถอนตำแหน่ง สอบสวนดำเนินคดี ส่งเข้าคุกให้หน่วยบูรพาสืบสวน เพื่อปลอบประโลมด
ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา “รากฐานของจักรวรรดิ ต้องอาศัยทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนปกครองบ้านเมือง ฝ่ายทหารปกครองแผ่นดิน ทั้งสองฝ่ายล้วนขาดไม่ได้ เปรียบเสมือนเสาหลักสองต้นที่ค้ำจุนแคว้น ด้วยเหตุนี้ ทายาทของวีรบุรุษผู้ภักดี จอมทัพอันดับหนึ่ง ผู้เป็นที่รักของเหล่าทหาร สมกับความกล้าหาญของวีรบุรุษผู้ภักดี ข้าจึงแต่งตั้งซูเจิ้นถิงเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งหน่วยบัญชาการทหารสูงสุด ควบคุมกองทัพทหารทั่วหล้า มอบอำนาจเบ็ดเสร็จในการบัญชาการทหารรักษานครบาลจำนวนสามแสนนาย ด้วยความมุ่งหวังให้แผ่นดินที่แสงอาทิตย์ส่องถึงและสายน้ำไหลผ่าน ล้วนเป็นดินแดนฉิน อาศัยดาบอันคมกริบของท่านซู แผ่ขยายบารมีของแคว้นสู่ดินแดนอันไกลโพ้น รับพระราชโองการ”เมื่อพระราชโองการฉบับนี้ ลงประทับตราพระราชลัญจกรและตราประทับขององค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนแล้ว จะคัดสำเนาส่งให้กับสำนักราชเลขาเก็บไว้เป็นหลักฐาน และจะส่งไปที่ทุกเมืองประกาศให้ราษฎรทราบ ห้ามมิให้ผู้ใดฝ่าฝืน”เมื่อพระราชโองการประกาศแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ซูเจิ้นถิงเอ่ยปากคนแรก ก้มกราบลงสามครั้งคำนับเก้าคำครั้ง และเอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “กระ
เจียงโจวตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง รีบร้องตะโกนว่า “องค์รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วย กระหม่อมไม่ทราบว่าเรื่องจะบานปลายเพียงนี้ กระหม่อมก็กำลังคิดหาวิธีไล่พวกเขาออกไป ทว่าผู้ประสบภัยเหล่านั้นดื้อรั้นนัก ไล่แล้วก็กลับมา กระหม่อมจนปัญญาแล้วจริงๆ” “ตำราเซิ่งเสียน สุนัขคาบไปกินแล้วรึ!” เจียงโจวไม่อธิบายคงดีกว่า แต่ทันทีที่เขาอธิบาย จิตสังหารของหลี่เฉินก็เดือดพล่านอีกครั้ง “ราชสำนักแต่งตั้งเจ้าเป็นขุนนาง และเป็นถึงผู้ว่าการเมืองหลวง ภายใต้โอรสสวรรค์ เพื่อให้เจ้าขับไล่ผู้ประสบภัยรึ! ผู้ประสบภัยไปที่ใดก็มิใช่ดินแดนของต้าฉิน มิใช่ราษฎรของต้าฉินอย่างนั้นหรือ!” “เจ้าไม่คิดบรรเทาภัยพิบัติและเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ยังจะขับไล่พวกเขาออกไป เพียงคำพูดนี้ของเจ้า ข้าไม่สังหารเจ้า คงไม่อาจระบายความเกลียดแค้นที่ติดอยู่ในใจไปได้!” “ลากขุนนางชั่วช้าออกไปสอบปากคำและสังหารทันที ตรวจค้นจวนของเขา เนรเทศสามพันลี้ในสามชั่วโครตให้ และยึดเป็นของหลวงทั้งหมด!” เจียงโจวนึกไม่ถึงว่าการร้องขอความเมตตาจะนำไปสู่การทำลายล้างตระกูลของเขา เขากลัวมากจนเนื้อตัวสั่นไม่หยุด อยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับถูกองครักษ์ที่ถือดา
“เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยามนี้ไม่ว่าจะลงโทษหรือเอาผิดก็เป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุ ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือการบรรเทาภัยพิบัติและช่วยเหลือผู้ประสบภัย เหตุการณ์ที่องค์รักษ์อวี่หลินสังหารหมู่ผู้ประสบภัยนั้น มีทั้งแง่มุมดีและแง่มุมเลวร้าย แม้ชีวิตผู้คนหลายพันคนจะสูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย แต่ความผิดพลาดได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องรีบช่วยเหลือผู้ประสบภัย มิฉะนั้น จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของราชสำนักในสายตาของราษฎร”คำพูดของจ้าวเสวียนจี ทำให้หลี่เฉินหาข้อผิดพลาดไม่ได้เลยอีกทั้งเป็นเรื่องที่หลี่เฉินกังวลจริง ๆเขาจึงมิได้พูดแทรก และรอให้จ้าวเสวียนจีพูดต่อจ้าวเสวียนจีมิได้หยุดพูด หายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยต่อว่า “เรื่องนี้ กระหม่อมขอเสนอแนะให้องค์รัชทายาทมีราชโองการให้คัดเลือกบุคคลผู้มีจิตใจเมตตา สามารถเป็นตัวแทนของราชวงศ์ และมากด้วยความสามารถลงพื้นที่ประสบภัยเพื่อปลอบประโลมราษฎร”เมื่อได้ยินประโยคนี้ จุดประสงค์ของจ้าวเสวียนจีก็ชัดเจนขึ้นแล้วขุนนางทั้งราชสำนัก ใครบ้างที่สามารถเป็นตัวแทนของราชวงศ์ได้ไม่มีผู้ใดนอกจากองค์รัชทายาททว่าองค์รัชทายาททรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระ
หากกล่าวว่าหลายวันก่อน หลี่เฉินเพิ่งถูกบีบให้สละบัลลังก์ แม้จะมีเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองอยู่บ้าง แต่ยังดูอ่อนหัดและไร้เดียงสา สุดท้ายมิใช่เพราะฮ่องเต้ต้าสิงผู้ฟื้นอย่างกะทันหันและช่วยชีวิตเขาไว้ เกรงว่ายามนี้องค์รัชทายาทอาจกลายเป็นหุ่นเชิด หรือถูกทหารองครักษ์อวี่หลินกดดันสำเร็จแล้วทว่าองค์รัชทายาทในยามนี้ที่ยืนอยู่บนพระที่นั่งไท่เหอ เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองจะดูชำชองอย่างมาก รู้จักหลบหลีกและโจมตีอย่างชาญฉลาด ย่างก้าวหลายก้าวที่ผ่านมา ล้วนคิดวางแผนในจุดที่ตนไม่ทันได้เตรียมการ จนเอาชนะเบี้ยได้ตัวหนึ่งแม้จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ แต่โดยรวมแล้ว ยังมีแนวโน้มสูงที่ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่จะสูญเสียจ้าวเจี้ยนเย่ ภายใต้ความสำเร็จที่ทำให้กับซูเจิ้งถิงกลับมามีบทบาทอีกครั้ง และปกครองทหารกล้าสามแสนนายของหน่วยบัญชาการสูงสุดเพียงผู้เดียวดังนั้น โดยสรุปแล้ว จ้าวเสวียนจีพ่ายแพ้ไปหนึ่งเบี้ยสิ่งสำคัญที่สุดคือ องค์รัชทายาทมิได้ใช้อารมณ์ต่อต้านแรงกดดันจากเขา แต่กลับยอมถอยก้าวอย่างชาญฉลาดสิ่งนี้ทำให้จ้าวเสวียนจีตระหนักว่าองค์รัชทายาทในยามนี้เรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนความสามารถ ไม่ได้เปิดเผยจุดอ่อนอีกต่อไป แต
เพียงแค่เป็นบุคคลสำคัญผู้มีอำนาจ ย่อมต้องมีอย่างน้อยหนึ่งหรือสองคนที่มีสถานะพิเศษอยู่เคียงข้างเช่น ซานเป่าผู้ติดตามข้างกายฮ่องเต้องค์ก่อน หรือวั่นเจียวเจียวที่อยู่เคียงข้างหลี่เฉินในตอนนี้วั่นเจียวเจียว แม้จะมีตำแหน่งเป็นข้าราชสำนักสตรี แต่เมื่อครั้งที่ได้รับเลือกให้ติดตามหลี่เฉิน นางก็ไม่ได้ถูกบรรจุเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักต้าฉินกล่าวคือ วั่นเจียวเจียวไม่มีตำแหน่ง ไม่มีฐานะขุนนางในระบบหากจะกล่าวให้ถูกต้อง วั่นเจียวเจียวขึ้นตรงต่อตำหนักบูรพา ได้รับเงินเดือนจากตำหนักบูรพา และหน้าที่ของนางโดยแท้จริงก็คือการรับใช้ข้างกายองค์รัชทายาทแต่เพราะนางอยู่ใกล้ชิดองค์รัชทายาท วันหนึ่งสิบสองชั่วยาม นอกจากเวลานอนแล้ว นางแทบไม่ห่างจากพระองค์เลย ดังนั้น แม้จะไม่มีตำแหน่งเป็นทางการ แต่กลับเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากไม่มีผู้ใดอยากขัดใจคนที่ติดตามองค์รัชทายาทตลอดเวลา เผลอๆ ในช่วงเวลาสำคัญ นางอาจกล่าวเพียงประโยคเดียวก็สามารถกำหนดชะตาชีวิตผู้คนได้ยิ่งไปกว่านั้น หากวั่นเจียวเจียวปรากฏตัวอยู่ที่ใด ก็เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนขององค์รัชทายาท คำพูดของนาง ย่อมศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใดวั่นเจียวเจียวม
ซานเป่ากล่าวคำขู่เรียบง่ายแต่รุนแรงเมื่อเทียบกับวาจาสุภาพของหวังฟู่ย่ง ซานเป่ากลับเผยให้เห็นถึงความองอาจอย่างยากจะหาใครเทียบและที่สำคัญมันได้ผลสีหน้าของหวังฟู่ย่งถึงกับแข็งค้างไปชั่วขณะ ในใจเกิดความลังเลขึ้นมาทันทีท้ายที่สุดแล้ว หน่วยบูรพานั้นเป็นที่เลื่องลือในเรื่องความโหดเหี้ยม ไม่ใช่เพิ่งเริ่มขึ้นในปีสองปี แต่เป็นชื่อเสียงที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปีตัวเขาเองแม้จะดำรงตำแหน่งศาลต้าหลี่ชิง แต่ก็มิอาจมั่นใจได้เลยว่าอีกฝ่ายจะให้ความสำคัญกับตนที่สำคัญที่สุด หากเขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับหน่วยบูรพาและตำหนักบูรพาอย่างตรงไปตรงมา แล้วต้องเผชิญกับการตอบโต้ในภายหลัง เขาจะสามารถรับมือไหวหรือไม่หากจ้าวเสวียนจีตัดสินใจทอดทิ้งเขา ตัวเขาก็คงจะถึงจุดจบท้ายที่สุดแล้ว การที่เขาตัดสินใจยืนอยู่ข้างสำนักราชเลขาก็เพื่อหาที่พึ่ง ไม่ใช่เพื่อแลกเปลี่ยนด้วยชีวิตและครอบครัวของตนเองและความลังเลนี้เอง หลี่อิ๋นหู่จับสังเกตได้ทันที เขากล่าวกับหวังฟู่ย่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ใต้เท้าหวัง เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ข้ารับรองว่า ตราบใดที่เจ้าทำตามกฎแห่งความยุติธรรม ย่อมไม่มีใครแตะต้องเจ้าได้”“ฮ่า”ซานเป่
การที่หลี่อิ๋นหู่ลุกขึ้นมาอย่างรุนแรงโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ท่ามกลางฝูงชนจึงมีเสียงกรีดร้องแตกตื่นออกมา ผู้ที่ขี้ขลาดตาขาวต่างพากันถอยหลังหวาดกลัวไปไกล เกรงว่าจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยส่วนซานเป่านั้นยืนอยู่ข้างๆ เหอโสวอี้มาตลอด เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จึงดึงเหอโสวอี้มาอยู่หลังตัวทันที แล้วมองเย็นชาไปที่หลี่อิ๋นหู่ที่กำลังเดินเข้ามา เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "จ้าวอ๋อง พระราชโองการขององค์รัชทายาทนั้นต้องการให้ท่านรักษาหน้าไว้ ให้ท่านกลับไปกับข้าอย่างสงบ อย่าบังคับให้ข้าต้องทำลายหน้านี้ของท่าน" หลี่อิ๋นหู่ขบฟันกรอดเกือบแตก เขารู้ดีว่าตราบใดที่ซานเป่าอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่มีทางสังหารเหอโสวอี้ได้ และจริงๆ แล้ว เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะสามารถสังหารเหอโสวอี้ได้ตั้งแต่แรกที่ทำเช่นนี้ก็เพียงเพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น เขาไม่เชื่อว่าจ้าวเสวียนจีจะยอมให้เขาถูกโค่นลงไปง่ายๆ และแล้ว เพียงชั่วเวลาสั้นๆ เสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากก็ดังกรับก้องเข้ามา ขุนนางวัยกลางคนที่สวมชุดราชการเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุท่ามกลางผู้ติดตาม ซานเป่ามองไปที่ผู้มาเยือนด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง แต่แวว
"จ้าวอ๋อง"ซานเป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "หมอหลวงเหอย่อมไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนกล่าวสิ่งใด และทุกคำที่เขากล่าวเป็นความจริง เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องร้อนรน"หลี่อิ๋นหู่กัดฟันแน่น โทสะและความหวาดหวั่นภายในใจแทบควบคุมไม่อยู่มือของเขากำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ แต่เมื่อมองไปรอบๆ และเห็นหน่วยบูรพาและองครักษ์เสื้อแพรกระจายอยู่ทุกหนแห่ง เขาก็รู้ว่า ไม่มีทางไหนที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือ หวังว่าเหอโสวอี้จะกลัวการล้างแค้นในภายหลังหวังว่าเขาจะกลัวจนเปลี่ยนคำให้การ"เหอโสวอี้ ตราบใดที่เจ้ากล่าวความจริง ข้าย่อมไม่แตะต้องเจ้า แต่หากเจ้ากล้าแต่งเรื่องแม้แต่คำเดียว ข้าจะทำให้เจ้าต้องถูกบดขยี้จนไม่เหลือกระดูก!"คำขู่ของหลี่อิ๋นหู่ทำให้สีหน้าของเหอโสวอี้ซีดเผือดดวงตาของเขาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เขาหันไปมองซานเป่าโดยสัญชาตญาณ แต่ซานเป่ากลับยิ้มออกมาเบาๆ "ท่านอย่าลืมว่า ใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังท่าน ไม่มีผู้ใดแตะต้องท่านได้"คำพูดนี้ ทำให้เหอโสวอี้เกิดความมั่นใจขึ้นมาทันทีเขาสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะกล่าวต่อ "หลังจากจ้าวอ๋องตรัสประโยคนั้นเสร็จ ข้าก็เห็นกับ
เหตุการณ์ในวันนั้นฉายชัดขึ้นราวกับภาพสะท้อนในกระจกน้ำหลี่อิ๋นหู่จำได้อย่างชัดเจนว่า ในวันที่เขาเข้าไปเยี่ยมองค์ชายเก้า หมอหลวงเหออยู่ที่นั่น หมอหลวงเหอเป็นผู้รับผิดชอบดูแลองค์ชายเก้าโดยตรงเขาสั่งให้หมอหลวงเหอออกไป หมอหลวงเหอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดก็ยอมจากไปหลังจากวันนั้น หลี่อิ๋นหู่ไม่เคยเห็นหมอหลวงเหออีกเลย แต่ใครจะคิดว่า วันนี้จะได้พบกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้!?หรือว่าวันนั้นหมอหลวงเหอไม่ได้ออกไปจริงๆ? หรือว่าเขาแอบฟังหรือแอบมองอยู่ข้างนอก!?ความคิดนับพันแล่นเข้ามาในหัวของเขา ไม่มีแม้แต่ความคิดเดียวที่เป็นข่าวดีสายตาของเขาเบิกกว้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นขณะมองเหอโสวอี้ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เหอโสวอี้กลับก้มศีรษะลง ไม่พูดอะไรซานเป่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "เหอโสวอี้เป็นหมอหลวงผู้มีประสบการณ์ของสำนักหมอหลวง ทักษะที่เขาชำนาญที่สุดคือ รักษาอาการหวาดกลัวและฝันร้าย ในวันนั้น องค์ชายเก้าทรงกระทำความผิดและถูกองค์รัชทายาทลงโทษ ทำให้ทรงตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก แม้องค์รัชทายาทจะลงโทษพระอนุชา แต่พระองค์ก็ยังมีความห่วงใย ดังนั้น เมื่อทรงทราบเรื่อง จึงทรงสั่งให้
คำพูดของซานเป่าทำให้บรรยากาศที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและความวุ่นวาย เงียบลงชั่วขณะ ก่อนที่เสียงอุทานตกตะลึงจะดังขึ้นทั่วทั้งลานทุกคนเบิกตากว้าง นอกจากความตกใจแล้วยังมีความตื่นเต้นปะปนอยู่ไม่ว่าในยุคสมัยใด ผู้คนต่างก็มีไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวยิ่งเป็นเรื่องในวงการชนชั้นสูง พวกเขาก็ยิ่งต้องการรู้ความจริงของแวดวงนั้นและราชวงศ์ คือเป้าหมายอันดับต้นๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนหากไม่เป็นเช่นนั้น เหตุใดเรื่องลับของราชวงศ์ในอดีต ถึงได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย แม้บางเรื่องจะเกินจริงหรือไร้เหตุผลเพียงใดก็ตาม?เหล่าราษฎรที่พูดคุยกัน มักเอ่ยถึงเรื่องลับของจักรพรรดิองค์ใดองค์หนึ่งมากกว่าการพูดถึงเรื่องเล็กน้อย เช่น การที่คหบดีหวังสะดุดล้มในหมู่บ้านข้างๆ เพราะเรื่องราวเช่นนี้ไม่เพียงสร้างความตื่นเต้นให้แก่ผู้เล่า แต่ยังเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้ฟังอีกด้วยการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของเหล่าองค์ชาย ถือเป็นหัวข้ออมตะของทุกยุคสมัยทว่าในที่แจ้ง แทบจะไม่มีการเปิดเผยข่าวว่าองค์ชายทำร้ายหรือสังหารพี่น้องของตนเองเพราะราชวงศ์ยังต้องรักษาหน้าตาแม้ว่าฮ่องเต้บางพระองค์จ
"ขอฟ้าดินเป็นพยาน!"หลี่อิ๋นหู่ประสานมือขึ้นสู่ฟากฟ้า"ข้า หลี่อิ๋นหู่ ในฐานะบุตร ขอพรให้เสด็จพ่อทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง!""ข้า หลี่อิ๋นหู่ ในฐานะข้าราชบริพาร ขอพรให้เสด็จพ่อทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน!"หลี่อิ๋นหู่ท่องบทสวดเสียงดัง หลังจากกล่าวคำขึ้นต้นสองประโยคแล้ว ก็มีผู้รับผิดชอบนำบทสวดที่เขียนไว้ล่วงหน้ามาส่งให้ เมื่อหลี่อิ๋นหู่อ่านจบ ก็จะทำการเผาเพื่อส่งถึงสวรรค์ นี่เป็นขั้นตอนทั้งหมดของพิธีบวงสรวงและอธิษฐานขอพรขณะที่หลี่อิ๋นหู่คิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะเขา"จ้าวอ๋อง โปรดช้าก่อน"ในพิธีอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เสียงของคนทั่วไปย่อมถูกกลืนหายไปในฝูงชนแต่เสียงนี้กลับแหลมสูงและเย็นเยียบ แฝงไปด้วยพลังอันแปลกประหลาด ส่งไปถึงหูของทุกผู้คนในที่นั้นได้อย่างชัดเจนสีหน้าของหลี่อิ๋นหู่เปลี่ยนไปทันทีเขาจำเสียงนี้ได้ดีซานเป่า กวางกงแห่งหน่วยบูรพาฝูงชนถูกแหวกออกเป็นทาง ซานเป่าเดินออกมาจากกลุ่มคนเขายืนอยู่เบื้องล่างของแท่นบวงสรวง ใบหน้าขาวซีดไร้หนวดเคราของเขาประดับด้วยรอยยิ้มเย็นชา เขาประสานมือคารวะหลี่อิ๋นหู่ก่อนกล่าวว่า "ท
ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย เหอโสวอี้จึงเลือกที่จะปิดปากเงียบแต่บัดนี้กลับเงียบต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาทำได้เพียงเชื่อฟังองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทให้ทำสิ่งใด เขาก็ต้องทำ ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้าน และไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆทว่าตอนนี้ หลี่เฉินกลับให้คำมั่นสัญญาที่ดีที่สุดแก่เขาถึงขั้นรับปากจะออกพระราชโองการ นี่ถือเป็นหลักประกันที่มั่นคงที่สุดเขาไม่คิดว่าองค์รัชทายาทจะกุเรื่องโกหกเพื่อตัวเขาที่เป็นเพียงคนเล็กคนน้อย และยิ่งไปกว่านั้น หากมีพระราชโองการออกมา เรื่องราวก็จะได้รับการตัดสินเด็ดขาด เว้นแต่องค์รัชทายาทจะยอมเสียชื่อเสียงของพระองค์เอง มิเช่นนั้นคงไม่มีวันกลับคำคิดได้ดังนี้ เหอโสวอี้ก้มลงกราบอย่างหนักแน่น กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า "กระหม่อม ขอขอบพระทัยองค์รัชทายาท""ไปเถอะ ซานเป่าจะบอกเจ้าว่าต้องทำเช่นไร ไปสั่งสอนจ้าวอ๋องให้รู้รสชาติบ้าง" หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหอโสวอี้กราบอีกครั้ง ก่อนลุกขึ้นยืนอย่างนอบน้อม แล้วถอยหลังออกจากพระที่นั่งสีเจิ้งอย่างช้าๆในขณะเดียวกัน หลี่อิ๋นหู่ไม่รู้เลยว่าในพระที่นั่งสีเจิ้งเกิดอะไรขึ้น เขากำลังหลงระเริงอยู่ในเกียรติยศและเกียรติคุ
ภายในพระที่นั่งสีเจิ้งหมอหลวงเหอมีสีหน้าหวาดกลัว ตัวสั่นเทิ้มขณะคุกเข่าอยู่บนพื้นเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาท แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมลงมาจากเหนือศีรษะของเขาแรงกดดันนี้หนักหน่วงจนแทบหายใจไม่ออก"เหอโสวอี้"หลี่เฉินถือเอกสารจากหน่วยบูรพาที่รวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับหมอหลวงเหอไว้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ตระกูลของเจ้าประกอบอาชีพแพทย์สืบต่อกันมาหลายรุ่น นับตั้งแต่ปู่ของเจ้าใช้ตำรับยาที่สืบทอดกันมา รักษาโรคระบาดที่ปะทุขึ้นในมณฑลฮุ่ยโจวในอดีต ตั้งแต่นั้นมา ทั้งปู่ของเจ้า บิดาของเจ้า จนมาถึงเจ้า ต่างก็เป็นหมอหลวงประจำสำนักแพทย์หลวง""ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ตระกูลของเจ้าล้วนผ่านพบทั้งเรื่องที่เปิดเผยได้ และเรื่องที่ปกปิดไม่ให้ใครรู้ไม่ใช่หรือ?"เหอโสวอี้มีเหงื่อเย็นไหลออกมาท่วมหน้าผากเหมือนน้ำจากก๊อกที่เปิดสุด เขารู้ว่าเป็นคำถามที่เสี่ยงอันตรายมาก จึงไม่กล้าตอบแม้แต่คำเดียวโชคดีที่หลี่เฉินดูเหมือนไม่คาดหวังคำตอบจากเขาอยู่แล้ว และกล่าวต่อไป "การเป็นขุนนางระดับล่างนั้นดี เพราะสามารถเป็นเจ้าผู้ปกครองในถิ่นห่างไกลจากฮ่องเต้ มีอำนาจอยู่ในมือแทบไม่ต่