อันเจ๋อคิดที่จะโต้แย้งออกไปแต่สิ่งที่ต้อนรับเขาก็คือลูกธนูอย่างหนาแน่นอาจารย์หลินลากอันเจ๋อกลับมาพลางเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีประโยชน์ พวกเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะสังหารพวกเราทั้งหมด การวินิจฉัยของเจ้าล้วนผิดเพี้ยนไปแล้ว!”อันเจ๋อก็มองความโหดร้ายของหยางเจี้ยนออกเช่นกันจึงกังวลเป็นอย่างมาก “อาจารย์หลิน กองกำลังของพวกเราจะต้านการบุกของพวกเขาไหวหรือไม่?”อาจารย์หลินยิ้มอย่างเย็นชา “สิงหยางของเรามีกองกำลังของราษฎรอยู่เพียงสามพันคนเท่านั้น จะเป็นคู่ต่อสู้ของทหารอาชีพเหล่านี้ได้อย่างไร!”“หยางเจี้ยนมาในคราวนี้นำทหารมาเกือบหกพันคน! ทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้ เป็นไปมิได้เลยที่จะป้องกันประตูเมืองไว้ได้!”อันเจ๋อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกังวลมากแต่อาจารย์หลินก็หัวเราะอย่างดูถูกออกมาอีกครั้ง “แต่หากคิดจะต่อสู้ให้พวกเขาพ่ายแพ้ไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปมิได้!”อันเจ๋อมองอาจารย์หลินอย่างงุนงง เขาเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน!“มิสามารถต้านทานได้ แต่สามารถใช้สติปัญญาชิงไหวชิงพริบได้!”อาจารย์หลินเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “ข้าจะสั่งให้คนเอาจดหมายของเจ้าออกไปส่งก่อน!”อันเจ๋อมองอาจารย์
กลุ่มขุนนางทำได้เพียงเดินตามเซียวหลินเทียนต่อ เมื่อออกจากเมืองไปสิบกว่าลี้ ก็เริ่มเห็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าเซียวหลินเทียนแสร้งทำเป็นมิรู้ว่าเป็นที่ดินของตระกูลใด พลางเอ่ยอย่างเสียดาย “ที่ดินดีเช่นนี้ หากมิปลูกพืชพรรณใดก็น่าเสียดายแย่!”“ใต้เท้าเจี่ยง ให้ผู้คนในเขตนี้บอกต่อกันออกไปว่า ทางราชสำนักสนับสนุนให้มีการบุกเบิกฟื้นฟูที่ดินรกร้าง ให้ชาวบ้านแถวนี้มาทำการฟื้นฟูที่ดินและเพาะปลูกในช่วงวสันตฤดู!”ใบหน้าของใต้เท้าเจี่ยงกระตุก มิรู้ว่าเซียวหลินเทียนจงใจหรือว่ามิรู้จริง ๆ ว่าที่ดินแห่งนี้เป็นของตระกูลใต้เท้าหลี่ใต้เท้าหลี่เองก็ลำบากใจพูดมิออก ตนเป็นผู้เสนอให้มีการสนับสนุนบุกเบิกที่ดินรกร้าง และตนก็ได้เลื่อนขั้นเพราะเรื่องนี้ด้วยแล้วตอนนี้เขาจะกล้าบอกกับองค์จักรพรรดิหรือว่าที่ดินรกร้างว่างเปล่าแห่งนี้เป็นของตระกูลตน?ผู้ตรวจการซุนเป็นคนซื่อตรงและมีนิสัยตรงไปตรงมา เขามิเกรงกลัวอำนาจของใต้เท้าหลี่ เมื่อเห็นว่าใต้เท้าหลี่มิพูดจา เขาจึงเอ่ยออกไปตามตรง “ฝ่าบาท นี่มิใช่ที่ดินรกร้างพ่ะย่ะค่ะ เป็นที่ดินที่มีเจ้าของ!”“หา? ในเมื่อเป็นที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ แล้วเหตุใดจึงมีวัชพืชขึ้นรกเช่นนี
เซียวหลินเทียนพูดออกมาพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด จากนั้นก็มองที่ดินรกร้างว่างเปล่าเหล่านั้นด้วยท่าทีที่ดูเสียใจเป็นอย่างมาก“ใต้เท้าหลี่มิสามารถจัดการที่ดินเพาะปลูกได้ แต่ที่ดินที่ดีเหล่านี้จะปล่อยรกร้างไปก็น่าเสียดาย!”ใต้เท้าเฉินหนึ่งในกรมพระคลังได้รับคำสั่งจากหลี่ว์เซียงมาก่อนหน้านี้ ในยามนี้จึงออกมาพลางเอ่ย“ฝ่าบาท กระหม่อมก็รู้สึกว่าที่ดินที่ดีเช่นนี้หากปล่อยรกร้างไปช่างน่าเสียนักพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อใต้เท้าหลี่มิถนัดในการจัดการที่ดิน เช่นนั้นเหตุใดจึงมิให้ใต้เท้าหลี่ขายที่ดินเหล่านี้กลับคืนให้ราชสำนักแล้วให้จวนขุนนางส่งคนมาจัดการอย่างเท่าเทียมหรือพ่ะย่ะค่ะ!”“หากทำเช่นนี้ก็มิต้องปล่อยที่ดินให้รกร้างแล้วและยังทำให้ใต้เท้าหลี่มิต้องมายุ่งวุ่นวายเพราะเหตุนี้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”“ใต้เท้าหลี่ การปล่อยที่ดินรกร้างตามกฎแล้วจะต้องถูกลงโทษตามความร้ายแรงของสถานการณ์! ที่ดินรกร้างของเจ้ามีขนาดหลายร้อยหมู่ ต้องมีการชดเชยภาษีและถูกลงโทษด้วย มันจะได้มิคุ้มเสีย!”ใต้เท้าเฉินยังพูดมิทันจบ ใต้เท้าหลี่ก็ตกใจคุกเข่าลงกับพื้นแล้ว“ฝ่าบาท กระหม่อมมิรู้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะว่าที่ดินเหล่านี้ถูกปล่อยให้รกร้าง
หลังจากหลิงอวี๋ได้รู้วิธีการนี้ก็ชื่นชมเซียวหลินเทียนอย่างจริงใจนางรู้สึกว่านับวันเซียวหลินเทียนก็ยิ่งเก่งขึ้นเรื่อย ๆ การใช้วิธีการนำคำพูดของฝ่ายตรงข้ามมาตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามเองนั้นดีมาก!กระทั่งเหตุการณ์วุ่นวายที่เจิ้งโจวสิ้นสุดลง เซียวหลินเทียนก็คงจะทำให้สถานการณ์มั่นคงและสามารถเข้าสู่ช่วงเพาะปลูกในวสันตฤดูได้อย่างราบรื่นแล้วในขณะที่หลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนกำลังให้ความสนใจกับเรื่องที่เจิ้งโจว ป้าสะใภ้ใหญ่ก็นำป้ายของท่านอดีตเสนาบดีเข้าวังมาขอพบหลิงอวี๋หลิงอวี๋ค่อนข้างสงสัย ป้าสะใภ้ใหญ่มีเรื่องด่วนอันใดกัน?นางจึงรีบให้หลิงซวนไปพาป้าสะใภ้ใหญ่เข้าวังทันทีเมื่อป้าสะใภ้ใหญ่เห็นหลิงอวี๋ ยังมิทันได้พูดอะไรก็ตาแดงแล้วหลิงอวี๋จึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ป้าสะใภ้ใหญ่เป็นอะไรไป? เกิดเรื่องอะไรขึ้น? หรือว่าเป็นท่านปู่?”“ไม่ ๆ… มิใช่ท่านปู่ของท่านแต่เป็นหว่านเอ๋อร์เพคะ!”ป้าสะใภ้ใหญ่ควักจดหมายฉบับหนึ่งมาส่งให้หลิงอวี๋พลางเอ่ย“ก่อนหน้านี้แม่ทัพเผยบอกว่าจะช่วยพวกเราตามหาท่านลุงใหญ่ของท่าน แต่เขาไปหลายวันแล้วก็มิได้มีจดหมายมา หว่านเอ๋อร์จึงร้อนใจแล้วทิ้งจดหมายนี้ไว้เมื่อวานว่านางออกไปต
เซียวหลินเทียนได้ฟังที่หลิงอวี๋พูดก็หวั่นไหว หลิงอวี๋จึงฉวยโอกาสนี้กอดแขนเขาอย่างสนิทสนมพลางเอ่ย“เซียวหลินเทียน ท่านให้หม่อมฉันไปเถิด! หม่อมฉันหวังว่าเราจะเคารพซึ่งกันและกันนะเพคะ หม่อมฉันมิอยากถูกกักขังอยู่ในวังหลวงไปตลอดชีวิต หม่อมฉันเองก็หวังว่า หม่อมฉันจะสามารถทำในสิ่งที่หม่อมฉันอยากทำได้เช่นกันเพคะ!”“ครอบครัวท่านลุงท่านป้ามีบุญคุณท่วมหัวเราสองพี่น้อง หากเกิดอะไรขึ้นกับหลิงหว่าน หม่อมฉันจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเป็นแน่เพคะ!”นางใช้ไม้อ่อนมาพูดจาหว่านล้อมจนในที่สุดเซียวหลินเทียนก็ถูกหลิงอวี๋โน้มน้าวสำเร็จเขาจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ข้าให้เจ้าไป แต่เจ้าต้องรับปากข้าว่าจะต้องดูแลตนเองให้ดี ๆ!”“เพคะ!”หลิงอวี๋ขอเซียวหลินเทียนได้แล้วก็โล่งอกโล่งใจการที่นางยืนกรานจะไปตามหาหลิงหว่านที่เจิ้งโจวคราวนี้ นอกจากจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของหลิงหว่านแล้ว ก็ยังเป็นการลองใจเซียวหลินเทียนที่อยู่ข้างในนี้ด้วยหลิงอวี๋กังวลว่า เซียวหลินเทียนเป็นจักรพรรดิแล้วจะเผด็จการดังเช่นเมื่อก่อน ยึดติดกับความคิดชายเป็นใหญ่แล้วกักขังตนให้อยู่ที่วังหลังให้เป็นแม่บ้านแม่เรือนการใช้ชีวิตเช่นนั้นแค่คิดก็ทำให้
ทหารผู้นั้นส่ายหน้า “ใต้เท้าอันน่าจะเดินทางไปที่ผิงเนี่ยแล้ว พวกกบฏหลิวจวินอยู่ทางนั้นได้ยินว่าจับตัวท่านอ๋องผิงหนานไว้ ใต้เท้าอันน่าจะไปช่วยท่านอ๋องผิงหนานแล้ว!”หลิงอวี๋ตะลึงไปครู่หนึ่ง หลังจากนางออกมาจากวังก็มิรู้เรื่องความคืบหน้าในการจัดการความมิสงบของอันเจ๋ออีกเลย ไหนเลยจะคิดว่าท่านอ๋องผิงหนานจะถูกจับตัวไปแล้ว“แม่ทัพลั่วกับแม่ทัพจี้เล่า?”หลิงอวี๋นึกถึงสองแม่ทัพที่มาช่วยอันเจ๋อจึงถามไปอีกทหารผู้นั้นมองหลิงอวี๋อย่างสงสัย คงจะคิดมิถึงว่าพ่อค้าหนุ่มผู้นี้จะรู้เรื่องแม่ทัพของราชสำนักถึงเพียงนี้แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเถาจื่อที่ทำท่าทางดุร้าย ทหารผู้นั้นก็เอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ “แม่ทัพลั่วถูกผู้แทนพระองค์คนใหม่ส่งไปจัดการความมิสงบที่กว่างอู่แล้ว ส่วนแม่ทัพจี้ก็ถูกส่งไปจัดการกับเส้าหมิงเจี๋ย!”หลิงอวี๋ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว แม่ทัพฟางที่รับหน้าที่คนใหม่นี้เป็นคนของจ้าวฮุย ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนเคยบอกกับนางแล้วตอนนี้อันเจ๋อเป็นบุคคลสำคัญที่เก็บหลักฐานการกระทำผิดของพวกใต้เท้าจางเอาไว้ ท่านอ๋องผิงหนานถูกหลิวจวินจับตัวไป แม่ทัพฟางกลับมิคิดที่จะไปช่วยท่านอ๋องผิงหนาน ทั้งยังทำการแยก
“มิต้องตะโกนแล้ว คาดว่าอาจารย์หลินเองก็ไปช่วยใต้เท้าอันที่ผิงเนี่ยเช่นกัน เฉาเฉียงคงกังวลว่าพวกเราจะเป็นสายลับที่มาสืบที่อยู่ของอาจารย์หลินจึงเลี่ยงมิให้พบ!”หลิงอวี๋นึกถึงอาจารย์หลินที่อันเจ๋อเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ว่าเป็นบุคคลสำคัญของเฉาเฉียง และเป็นคนที่เก่งกาจมากจากที่หลี่ข่ายบอก ผู้นำที่เอาชนะแม่ทัพหยางได้ก็น่าจะเป็นอาจารย์หลินผู้นี้เฉาเฉียงคงกังวลว่า หากเปิดเผยไปว่าอาจารย์หลินมิได้อยู่สิงหยางแล้วจะถูกโจมตีจึงเลี่ยงที่จะมิพบเมื่อเห็นว่าสิงหยางมีการป้องกันที่แน่นหนาเช่นนี้ หลิงหว่านก็คงมิสามารถเข้าไปได้เช่นกัน เช่นนั้นจึงทำได้เพียงไปรวมตัวกับอันเจ๋อที่ผิงเนี่ยก่อนแล้วค่อยไปตามหาหลิงหว่านหลิงอวี๋จึงพาพวกเถาจื่อมุ่งหน้าไปผิงเนี่ย......เวลานี้ ไท่เฟยเส้ากับจ้าวฮุยได้รู้เรื่องที่หลิงอวี๋ออกไปจากวังหลวงแล้วกฎหมายที่ดินของเมืองหลวงก็ถูกประกาศออกไปอย่างรวดเร็วภายใต้ฝีมือและการเร่งเร้าของเซียวหลินเทียนขุนนางพวกของจ้าวฮุยทัดทานแรงกดดันของเซียวหลินเทียนมิไหว บางส่วนกลัวว่าจะถูกลงโทษเช่นใต้เท้าหลี่จึงยอมมอบที่ดินแต่โดยดีเดิมทีขุนนางบางส่วนยังคงดูท่าทีอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าจ้าวฮุยกับอ
“ยกมือขึ้นแล้ววางอาวุธลงเสีย!”หัวหน้าที่นำมาตะคอกใส่พวกนางทีแรกหลิงอวี๋ก็ตกใจคิดว่าเจอใต้เท้าจางซุ่มโจมตี แต่เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็หันไปมอง หัวหน้าผู้นี้คือฮุยจื่อคนรับใช้ของอันเจ๋อนั่นเองหลิงอวี๋จึงเรียกเขาทันที “เสี่ยวฮุยจื่อ ข้าคือแม่นางหลิง!”หลิงอวี๋เช็ดหน้าแล้วถอดหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของตนเสี่ยวฮุยจื่อเป็นคนฉลาด เมื่อตั้งใจมองดี ๆ ว่าเป็นใบหน้าของหลิงอวี๋ก็ตะลึง แต่มิกล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของหลิงอวี๋จึงเรียกด้วยความเคารพในทันที “แม่นางหลิง ที่แท้ก็เป็นท่านเอง! คนกันเอง วางหน้าไม้เสียลง...”เสี่ยวฮุยจื่อเข้ามาต้อนรับ หลิงอวี๋จึงรีบเอ่ยถาม “ใต้เท้าอันสบายดีหรือไม่?”“ก่อนหน้านี้ใต้เท้าของข้าได้รับบาดเจ็บที่สิงหยาง อาการบาดเจ็บแย่ลงแล้ว พวกท่านมาพอดี จะได้ไปตรวจให้เขา!”เสี่ยวฮุยจื่อขยิบตาให้หลิงอวี๋ หลิงอวี๋มิแน่ใจว่าอาการบาดเจ็บของอันเจ๋อแย่ลงจริง ๆ หรือว่าเป็นแผนการ จึงตามเสี่ยวฮุยจื่อเข้าไปที่ที่พักชั่วคราว“แม่ทัพเผยก็มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เสี่ยวฮุยจื่อเห็นว่าแถวนี้มิได้มีคนนอกจึงบอกกับหลิงอวี๋หลิงอวี๋โล่งอก เผยอวี้อยู่ที่นี่ เช่นนั้นหลิงห
กระทั่งมาถึงที่เมือง จ้าวหรุ่ยหรุ่ยก็หาโรงเตี๊ยมและเปิดห้องพักหนึ่งห้องส่วนป้าวซวนก็ช่วยประคองหลิงอวี๋เข้าไปในห้องนั้นภายในห้องมีเตียงเพียงเตียงเดียว ดังนั้นจึงมิสามารถนอนสองคนได้แน่ป้าวซวนจนใจ จึงขอผ้านวมเก่าที่ปูเตียงมาจากเสี่ยวเอ้อร์แล้วนำมาปูไว้ที่มุมห้องให้หลิงอวี๋นอนจ้าวหรุ่ยหรุ่ยออกไปถามข้อมูลจากเจ้าของโรงเตี๊ยม แล้วให้ป้าวซวนเฝ้าหลิงอวี๋เอาไว้ และเพื่อให้ป้าวซวนเชื่อฟังมิหนีไปไหน จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงหยิบเม็ดยาพิษออกมา จากนั้นก็ยัดเข้าไปในปากของป้าวซวน“ยาแก้พิษนี้จะต้องกินทุก ๆ สิบวัน หากเจ้ากล้าหนีไป เจ้าก็รอพิษกำเริบจนตายไปได้เลย!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยขู่ป้าวซวน ก่อนจะเดินออกไปอารมณ์ของป้าวซวนตกต่ำลงไปทันที เดิมทีนางคิดว่าจะโน้มน้าวหลิงอวี๋ให้หนีไปกับตน แต่ตอนนี้ตนถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยวางยาพิษเสียแล้ว หากนางหนีไป นางก็จะต้องตาย“ป้าวซวน เจ้าอยากหนีหรือไม่?”หลิงอวี๋ถือโอกาสที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิอยู่ แล้วรีบพูดคุยกับป้าวซวนอย่างรวดเร็ว“ข้าอยาก แต่เจ้ามิเห็นหรือเมื่อครู่? นางป้อนยาพิษให้ข้าไปแล้ว!”ป้าวซวนเอ่ยขึ้นมาด้วยความสิ้นหวัง “สตรีผู้นั้นโหดร้ายถึงเพียงนั้น ทั้งยังวางแผน
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเกลียดหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียน หากมิใช่เพราะสองสามีภรรยานี้ข่มตน พลังของนางจะสูญหายไปได้อย่างไร และจะต้องตกต่ำถึงขั้นต้องสังหารเฉียวเค่อได้อย่างไร!ในเวลานี้หลิงอวี๋สูญเสียความทรงจำไปแล้ว หากนางมิใช้โอกาสนี้สร้างความขัดแย้งระหว่างพวกเขา และทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไป ความทุกข์ทรมานของนางจะมิเสียเปล่าหรือ?“อวี้หนู หากในภายภาคหน้าเจ้ามีโอกาสได้พบกับเซียวหลินเทียน เจ้าต้องระวังตัวไว้!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยพยายามใส่ร้ายเซียวหลินเทียนอย่างเต็มที่ “เจ้าสังหารสตรีที่เขารักที่สุดไป เขาเคยสาบานเอาไว้ว่า หากจับตัวเจ้าได้ เขาจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”“จริงสิ เขายังเคยเฆี่ยนตีเจ้า และปล่อยให้คนรับใช้ของเขาเหยียดหยามเจ้าอีกด้วย! หากเจ้าจำอดีตได้ ก็น่าจะรู้ว่าเจ้ายังมีลูกชายอีกหนึ่งคน ซึ่งก็ถูกเขาสังหารไปแล้วเช่นกัน!”ถึงอย่างไรหลิงอวี๋ก็ลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจึงนำเรื่องราวของหลิงอวี๋ที่ตนเคยสืบมาหลอกลวงหลิงอวี๋เสียในขณะที่นางกำลังสาธยายอยู่นั้น ในหัวของหลิงอวี๋ก็มีภาพบางส่วนปรากฏขึ้นมาจริง ๆนางถูกคนรับใช้หลายคนลากตัวออกไป และบุรุษผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างโหดเหี้ยม
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยให้หลิงอวี๋พักผ่อนเพียงคืนเดียวเท่านั้น วันรุ่งขึ้นนางก็อ้างว่าจะไปตามหาคนในครอบครัว แล้วจ่ายเงินสิบตำลึงให้ลูกชายของป้าซุนไปส่งพวกนางที่ตัวเมือง หลังจากป้าซุนได้รับเงินมาแล้ว ก็มอบอาภรณ์เก่าของลูกสะใภ้ตนให้กับหลิงอวี๋อย่างใจดีหลิงอวี๋ประคองร่างกายที่เพิ่งแท้งแล้วไปเปลี่ยนกระโปรงที่เปื้อนเลือดของตน จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าหลิงอวี๋รู้สึกอ่อนเพลีย จึงนอนบนรถม้าและผล็อยหลับไปส่วนป้าวซวนหวาดกลัวจ้าวหรุ่ยหรุ่ย จึงมิกล้าพูดอะไรเช่นกันภายในรถม้าจึงมีแต่ความเงียบการเดินทางสามสิบลี้บนรถม้าที่โยกไปมานั้นช่างยาวนาน จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิได้ง่วงนอน จึงมองหลิงอวี๋ที่นอนหลับอยู่บนแผ่นไม้ของรถม้า นางผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรก ทั้งยังสวมชุดผ้าหยาบที่เต็มไปด้วยรอยปะทั้งตัวอีกฮองเฮาผู้สูงส่งในอดีต ตอนนี้ต่างอะไรกับสตรีชนบทกันเล่า?ความรู้สึกภาคภูมิใจพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยทันที นางเหยียบไปบนหน้าอกของหลิงอวี๋ ทั้งยังบดขยี้ลงไปอย่างร้ายกาจ พลางเอ่ยออกไปอย่างเยาะเย้ย“อวี้หนู เจ้าดูเถิดว่าข้าดีกับเจ้าแค่ไหน เจ้าตั้งครรภ์ลูกนอกสมรสข้าก็มิรังเกียจเจ้า ทั้งยังพาเจ้า
กระทั่งหลิงอวี๋ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็รู้สึกว่าที่ท้องน้อยของตนยังปวดอยู่เล็กน้อยคราวนี้นางมิเห็นดวงอาทิตย์แล้ว เหนือหัวของนางเป็นหลังคาสีเทา ๆ และมีเนื้อแห้งห้อยอยู่บนคานนี่คือที่ใดกัน?ลูกของนางยังอยู่หรือไม่?ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจะยื่นมือออกไปแตะที่ท้องน้อยของตน นางก็ได้ยินเสียงพูดคุยมาแว่ว ๆ“ท่านป้า พวกเรานายบ่าวถูกคนเลวทำร้ายมาจึงมาลำบากอยู่ที่นี่ ขอบคุณท่านป้ามาก ๆ ที่รับพวกเรา! เมื่อพวกเราตามหาครอบครัวเจอแล้ว เราจะตอบแทนท่านอย่างดีแน่นอน!”เสียงของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยตามมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างมีอายุเอ่ยขึ้นมา “คุณหนูจ้าวเกรงใจกันเกินไปแล้ว พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด หากต้องการสิ่งใดก็บอกมา ข้าจะให้ลูกชายข้าไปซื้อมาให้พวกเจ้าเอง!”“ท่านป้า ท่านเตรียมอาหารให้พวกเราก็พอแล้ว! จริงสิ ท่านป้า ข้าขอถามท่านสักหน่อยเถิด ที่นี่คือที่ไหนหรือ? อยู่ห่างจากเมืองหลวงแดนเทพเท่าไร?”หลิงอวี๋รีบเงี่ยหูฟังทันที นางจะต้องหนีไปจากเงื้อมมือของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยให้จงได้ หากรู้ทิศทางแล้วก็จะหลบหนีได้ง่าย“หมู่บ้านของเราชื่อหมู่บ้านหนิงหย่วน อยู่ห่างจากตัวเมืองสามสิบกว่าลี้ ที่เจ้าถามว่าอยู่ห่
“หรุ่ยหรุ่ย เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”ป้าวซวนตั้งสติได้ก็พุ่งเข้าไป คิดว่าจะดึงจ้าวหรุ่ยหรุ่ยไว้แต่คาดมิถึงว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะใช้หลังมือตบป้าวซวนอย่างแรงจนทำให้ป้าวซวนล้มลงไป“ป้าวซวน เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูสามของตระกูลป้าวอยู่รึ?”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยปล่อยหลิงอวี๋ที่กำลังขดตัวด้วยความเจ็บปวดไว้ชั่วคราว แล้วพุ่งเข้าไปเหยียบที่ข้อมือของป้าวซวน จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปมองนางพร้อมกับรอยยิ้มเยาะ“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด? ที่นี่แดนเทพ!”“ที่นี่อยู่ห่างจากตระกูลป้าวของเจ้ามิรู้กี่พันลี้! ข้าจะบอกเจ้าให้ นับแต่นี้ไป เจ้ามิใช่คุณหนูตระกูลป้าวอีกต่อไปแล้ว เจ้าคือนางรับใช้ของข้า จ้าวหรุ่ยหรุ่ย!”“ข้าบอกให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำ มิเช่นนั้นข้าจะเฉือนหน้าเจ้าเช่นเดียวกับที่ข้าทำกับนาง!”หลิงอวี๋เจ็บปวดจนแทบจะสลบแล้ว และเลือดของนางก็เปื้อนอยู่เต็มกระโปรงไปหมดเมื่อนางได้ยินคำพูดของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยในขณะที่นางกำลังอยู่ในอาการมึนงงนั้น นางจึงได้รู้ว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นคนที่กรีดหน้าตน มิใช่พวกค้ามนุษย์ที่ทำจ้าวหรุ่ยหรุ่ยหลอกตนมาตลอด!“เจ้าพูดเรื่องเพ้อฝันอยู่รึ? ข้ามิใช่นางรับใช้ของเจ้านะ!”ป้
ตอนที่หลิงอวี๋ตื่นขึ้นมา ตรงหน้านางก็ยังเป็นแสงหลากสีนั้นอยู่ กระทั่งแสงจางลง นางจึงได้เห็นดวงอาทิตย์สีทองห้อยอยู่เหนือหัวของนางช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่นางอยู่คฤหาสน์ตระกูลป้าวเป็นเวลากลางคืน แล้วเหตุใดเพียงชั่วพริบตาจึงมีดวงอาทิตย์ขึ้นมาได้เล่า?ขณะที่หลิงอวี๋กำลังรู้สึกสับสน นางก็รู้สึกเจ็บปวดตรงบริเวณท้องน้อยขึ้นมา ตามมาด้วยความร้อนที่ไหลออกมาจากระหว่างขาของนางหลิงอวี๋ลูบตรงท้องน้อยโดยมิรู้ตัว แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมากลูกของนาง?ความร้อนนี้ต้องเป็นเลือดแน่ ๆ!เด็กอาจจะมิอยู่แล้ว!หลิงอวี๋หันไปด้วยความตื่นตระหนก แล้วนางก็เห็นว่าตนอยู่ในทุ่งนา และห่างออกไปมิไกลก็มีเด็กสาวคนหนึ่งนอนอยู่ด้วย“ฮ่า ๆ ข้ากลับมาที่แดนเทพแล้ว! ครั้งนี้ข้าทำสำเร็จแล้ว!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยลุกขึ้นมาเห็นดวงอาทิตย์ จากนั้นก็เห็นทุ่งนาที่อยู่ข้าง ๆ นางจึงลุกขึ้นมาและตะโกนด้วยความตื่นเต้นหลิงอวี๋หันไปมองแล้วก็เห็นว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอยู่อีกด้านหนึ่งของตนเมื่อหลิงอวี๋เห็นจ้าวหรุ่ยหรุ่ย ความโกรธก็พลุ่งพล่านออกมาจากดวงตาในทันที ตอนนี้นางมิเชื่อแล้วว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยคือคุณหนูของตนผนึกที่อยู่บนร่างกายจ
กระทั่งเถาจื่อและหานอวี้ช่วยประคองเก๋อเฟิ่งฉิงออกไปแล้ว เซียวหลินเทียนจึงได้เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้ม “เผยอวี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”“ฮองเฮามิได้อยู่ที่ภูเขาหิมะแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระนางอยู่ในเมืองเล็ก แต่ว่า ตอนนี้พระนางถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยพาตัวไปอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เผยอวี้รีบเล่าให้ฟังว่าตนพบหลิงอวี๋ได้อย่างไร และเรื่องที่หลิงอวี๋หายตัวไปอีกครั้งได้อย่างไร“แม่นมอูเล่า เหตุใดนางจึงมิได้อยู่กับพวกเจ้า?”เผยอวี้ยังคงหวังว่าแม่นมอูจะช่วยพวกเขาตามหาหลิงอวี๋ให้เจอ แต่ผลก็คือมิพบแม่นมอู“แม่นมอูขาดการติดต่อกับเราไปแล้ว!”ผู้ที่ตอบคือขันทีโม่นับตั้งแต่ที่ขันทีโม่รู้ว่า คนของตระกูลจงเจิ้งก็อยู่บนภูเขาหิมะเช่นกัน เขาก็สงสัยว่าคนที่ลบรหัสลับที่แม่นมอูทิ้งไว้ให้ตนจะมิใช่คนจากวังเทพ และมิใช่คนจากตระกูลเฉียว หรือตระกูลเก๋อ แต่เป็นคนจากตระกูลจงเจิ้งต่างหากเขาสงสัยกระทั่งว่า แม่นมอูตกไปอยู่ในมือของคนตระกูลจงเจิ้งแล้วเซียวหลินเทียนมองไปทางภูเขาหิมะที่อยู่ไกล ๆ แล้วรู้สึกเศร้าและสับสนก่อนหน้านี้ยังคิดว่าหลิงอวี๋อยู่ที่วังเทพ ขอเพียงตนสามารถไปถึงวังเทพได้ ก็จะได้พบกับหลิงอวี๋แต่บัดนี้ เผยอวี้กลับบอก
“พี่สี่ เมื่ออยู่ที่ภูเขาหิมะแห่งนี้ ตระกูลจงเจิ้งเป็นภัยคุกคามยิ่งกว่าตระกูลเก๋อและตระกูลเฉียวเสียอีก!”เก๋อเฟิ่งฉิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของพวกเขามีความทะเยอทะยานยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาว่า พวกเขาคิดจะช่วยฝูไห่ออกมาแล้วให้มาต่อสู้กับตระกูลหลง!”“เพียงแต่ตระกูลหวงฝู่นั้นแข็งแกร่งมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาส! แต่ตอนนี้พวกเขามาปรากฏตัวที่วังเทพอีกครั้งแล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็น่าจะมีการเตรียมพร้อมมา เราจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขามิได้เด็ดขาด!”มิต้องให้เก๋อเฟิ่งฉิงเอ่ยเตือน เซียวหลินเทียนก็รู้ว่าตระกูลจงเจิ้งมีเจตนาร้ายต่อหลิงอวี๋อย่างเต็มเปี่ยมเขาอุ้มจิ่วเทียนขึ้นมาแล้วเอ่ยออกไป “ในเมื่อพวกเขามาแล้ว พวกเราก็ต้องรีบหาทางออก และออกไปโดยเร็วที่สุด!”สิ่งที่โชคดีก็คือ คราวนี้พวกเขาเพิ่งจะเดินมาเพียงครึ่งวัน และในตอนใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ไกล ๆ “เดินเร็ว ๆ เข้า ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นช่องว่างแล้ว เราน่าจะถึงก้นหุบเขากันแล้ว!”ฉินซานนี่!เซียวหลินเทียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที เพราะนั่นหมายความว่าพวกนั้นลงมาจากด้านบน และก็จะสามารถพาพวกเขาออกไ
เนื่องจากความรู้สึกขอบคุณนี้ เซียวหลินเทียนจึงตัดสินใจที่จะละทิ้งอคติที่มีต่อเก๋อเฟิ่งฉิงไป และอยู่ร่วมกับเก๋อเฟิ่งฉิงอย่างเป็นมิตรในที่สุดวันนี้พวกเขาทั้งสามก็ออกมาได้แล้ว มองเห็นดวงอาทิตย์แล้ว ซึ่งนี่ก็หมายความว่า อีกมินานพวกเขาก็จะสามารถออกไปจากหุบเขานี้ได้เซียวหลินเทียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ผิวปาก หากว่าเหยี่ยวดำจิ่วเทียนอยู่แถวนี้ มันจะต้องรีบมาหาตนอย่างแน่นอนแต่หลังจากที่ผิวปากอยู่นาน ก็ยังมิเห็นจิ่วเทียนบินมาเสียที“บางทีจิ่วเทียนอาจจะมิได้อยู่แถวนี้ก็ได้!”ขันทีโม่เอ่ยปลอบใจเขา “เราสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ เราก็สามารถหาทางออกไปได้ มิต้องร้อนใจไปหรอก!”ครั้งนี้เซียวหลินเทียนได้รับกระบี่คุนอู๋มาอย่างมิคาดฝัน เขาจึงรู้สึกพอใจมากและมิได้รู้สึกท้อแท้อะไรเขากับขันทีโม่ผลัดกันประคองเก๋อเฟิ่งฉิงเดินหน้าต่อไปหลังจากเดินไปได้สักพัก จู่ ๆ เซียวหลินเทียนก็ได้ยินเสียงร้องของนกเหยี่ยว เขาดีใจขึ้นมาทันที หรือว่าจิ่วเทียนจะมาหาแล้วเขาจึงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แต่กลับมิเห็นร่างของจิ่วเทียน“ท่านพี่สี่ เสียงนั้นดังมาจากด้านหน้านี่!”เก๋อเฟิ่งฉิงเอ่ยเตือนเซียวหลิ