เมื่อไป๋ซวงพูดจบ กระบี่เสินอิ่นพุ่งออกไปตรงตำแหน่งชีพจรหัวใจของไป๋คังเจี้ยนมีรอยแผลเพิ่มขึ้นทันทีจากนั้น รากวิญญาณธาตุดินของเขาก็ถูกขุดออกมารากวิญญาณธาตุดินนั้นถูกไป๋ซวงเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างรุนแรงท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งของไป๋ฮูหยินจนกระทั่งรากวิญญาณธาตุดินนั้นสลายไปจากใต้ฝ่าเท้าของไป๋ซวง นางถึงค่อยยกเท้าขึ้นมา“นังแพศยา!”ไป๋ฮูหยินด่าทอย่างเกรี้ยวกราด ยกมือขึ้นรวบรวมพลังวิญญาณโจมตีใส่ไป๋ซวงไป๋ซวงเชยตาขึ้นอย่างดูแคลน ก่อนจะพลิกข้อมือกระบี่เดียวแทงลำคอ!ไป๋ฮูหยินกุมลำคอตัวเองอย่างตะลึง ไม่อาจเปล่งเสียงก่นด่าด้วยความโกรธเกรี้ยวได้อีกต่อไปส่วนไป๋คังเจียนที่เพิ่งฟื้นขึ้นเพราะความเจ็บปวด ตื่นมาก็เห็นว่าทั่วทั้งร่างของตนเองเต็มไปด้วยเลือดหนำซ้ำข้างกายยังมีมารดาที่ถูกปาดคอในกระบี่เดียวเขารับความสะเทือนใจนี้ไม่ไหว จึงหมดสติไปอีกครั้งไป๋ซวงมองคนตระกูลไป๋ที่ตัวสั่นงันงกขดตัวอยู่ในมุม“ข้าไป๋ซวง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่คนที่จะถูกรังแกได้ง่าย ๆ ข้านึกว่าพวกเจ้าควรจะรู้ผ่านจากเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีก่อนแล้ว น่าเสียดาย พวกเจ้ากลับไม่รับรู้เรื่องนี้เลย ไป๋เฉิน ความแค้น
“อืม”จวินจิ๋วอิ่นตอบเชื่องช้า ในดวงตามีความผิดหวังอย่างชัดเจน“ข้าไม่เคยเห็นภาพที่ฮูหยินลงมืออย่างดุดันเด็ดเดี่ยวมาก่อน ไม่ง่ายกว่าจะได้เห็นสักครั้ง แม้แต่วิธีเก็บกวาดจากนี้ก็คิดไว้เสร็จแล้ว แต่กลับหมดสนุกเสียก่อน”“เช่นนั้นคงต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว แม้ข้าจะได้ชื่อว่าเป็นนางมาร แต่ไม่ได้กระหายการฆ่าจนเป็นนิสัย”“อืม ฮูหยินจิตใจดีที่สุด หากเป็นข้า จะต้องทำให้ตระกูลไป๋ล้มตายมลายไปสิ้น ยังจะปล่อยให้พวกเขากระโดดโลดเต้นอีกหรือ”“คงกระโดดโลดเต้นไปได้ไม่กี่วันหรอก อย่างไรพวกเขาก็ต้องชดใช้”“อืม ฮูหยินพูดถูก”ท่าทางของจวินจิ๋วอิ่นที่โอนอ่อนผ่อนตามฮูหยินทุกอย่าง ทำให้ไป๋ซวงส่ายหน้าอย่างระอานางจึงไม่พูดอีกเลย แล้วหลับตาพักผ่อนหลังจากระหกระเหินอยู่บนรถม้าตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงจวนอ๋องเก้าหลังจากไป๋เฉินทำความเข้าใจมาตลอดทาง บวกกับคำชี้แนะจากจวินจิ๋วอิ่นเขายอมรับเรื่องที่มีพี่เขยเป็นท่านอ๋อง มีพี่สาวเป็นพระชายาได้แล้วได้ยินพี่เขยบอกว่าพวกเขายังมีลูกชายอีกหนึ่งคนนิสัยแปลกประหลาด เป็นเด็กดีน่ารักเขาแทบจะอดทนรอไม่ไหวนิดหน่อยแล้วเมื่อรถม้าจอดสนิท จวินจิ๋วอิ่นจูงมือไป๋ซวงลงจากรถ
ภายในวังหลวง ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดคือฮองเฮาเจียงเถียนแต่ผู้ที่เป็นที่โปรดปรานมากที่สุดของฮ่องเต้ คงไม่พ้นพระสนมเอกจีหรงงานวันเกิดทุกปีของจีหรง แทบจะเทียบเท่างานของฮองเฮาปีนี้ จู่ ๆ จีหรงมีหลานชายเพิ่มมาหนึ่งคน หนำซ้ำยังฉลาดหลักแหลม มีพรสวรรค์เป็นเลิศจวินฉงยิ่งแทบอยากจะแนะนำซวี่เป่าให้ทุกคนได้รู้จักดังนั้นจึงส่งเทียบเชิญไปทั่ว แม้แต่แคว้นข้างเคียงยังได้รับเชิญหลังจากเข้ามาในวัง แขกที่มาร่วมงานแบ่งแยกเขตชายหญิงส่วนซวี่เป่าถูกจวินฉงสั่งให้คนมาพาตัวไปทันทีไป๋ซวงถูกพาไปที่ตำหนักเฟิ่งหลินของฮองเฮา ไปรวมกับเหล่าสตรีท่านอื่น เพื่อรอเวลางานเลี้ยงเริ่มเมื่อไป๋ซวงเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่ภายในตำหนักเฟิ่งหลิน ผู้คนที่ครึกครื้นเงียบลงทันใดแต่ละคนหันไปมองหน้ากัน จากนั้นก็หันไปมองไป๋ซวง“พระชายาองค์ชายเก้ามาแล้ว รีบนั่งเถอะ”ฮองเฮาอยู่ในชุดหงส์หรูหรา ยิ้มอ่อน ๆ นั่งอยู่บนบัลลังก์ตำแหน่งประธาน“ขอบพระทัยฮองเฮา”ไป๋ซวงไม่ได้สนใจสายตาสงสัยหรือดูแคลนของผู้คนภายใต้การนำทางของหงเยว่และจื่อชวน นางเข้าไปนั่งประจำที่พระชายาหงเยว่กับจื่อชวนเป็นสาวใช้ที่จวินจิ๋วอิ่นโยกมาจากหออู๋เซิงเพื่อ
“ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ?”ฉู่ฮูหยินป้องปากพร้อมถอนหายใจอย่างระอา จากนั้นส่ายหน้าเชื่องช้า“เรื่องนี้จะโทษท่านอ๋องเก้าคงไม่ได้ แม้แต่ลูกก็มีด้วยกันแล้ว อย่างไรเขาก็ต้องรับผิดชอบต่อแม่นางไป๋ไม่ใช่หรือ?”“รับผิดชอบหรือ? หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีอำนาจ ให้ตำแหน่งพระชายารองก็ถือเป็นบุญโขแล้ว ตำแหน่งพระชายาเอก ใช่ว่าใครจะอยากเป็นก็ได้”ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกับฉู่ฮูหยินเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พากันเหน็บแนมไป๋ซวงแม้สตรีนางอื่น ๆ จะไม่ได้เอ่ยปาก แต่ในใจก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความดูแคลนทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าสตรีคนใดก็ตามล้วนมีชาติกำเนิดที่ดีกว่าไป๋ซวงทั้งนั้นไป๋ซวงเป็นเพียงหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง กลับแย่งตำแหน่งพระชายาองค์ชายเก้าไปจะให้พวกนางสงบใจได้อย่างไรโดยเฉพาะเหล่าหญิงสูงศักดิ์ที่ตามมารดาเข้าวัง ขณะนี้ต่างพากันชูคอเชิดหน้าคล้ายอยากให้ไป๋ซวงเห็นชาติกำเนิดที่สูงศักดิ์ของพวกนาง เพื่อให้นางละอายใจไป๋ซวงยิ้มอย่างใจเย็น บนใบหน้าไม่มีความโกรธแม้แต่น้อยนางจับชายกระโปรง จากนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน“หากฮองเฮาไม่มีธุระใด หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”เมื่อไป๋ซวงพูดจบก็ลุกจากเก้าอี้“หยุดเดี๋ยวนี้!”ฮูหยินผู้
เมื่อไป๋ซวงพูดจบก็หันหลังเดินจากไปความกำเริบเสิบสานนั้น ทำให้ทุกคนที่เห็นโกรธเคืองอย่างมากแต่จะทำอย่างไรได้ เพราะไม่มีใครกล้าปะทะกับนางจริง ๆนางพูดถูก นางเป็นคนนิสัยไม่ดีจริง ๆ ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหรือฮองเฮาก็ไม่อยู่ในสายตา อีกทั้งท่านหญิงอันเล่อโหวบอกว่าจะฉีกแขนก็ฉีกเลย“ฮองเฮา ท่านจะปล่อยให้นางจากไปทั้งอย่างนี้หรือ?”ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเจียงเถียงอย่างโกรธเคือง!นางเป็นถึงฮองเฮาของแคว้น จะพ่ายแพ้ให้หญิงบ้านนอกเช่นนี้ได้อย่างไร?“ท่านแม่ บัดนี้พระชายาองค์ชายเก้ากำลังเป็นที่โปรดปราน ต่อให้ข้าทนนางไม่ได้แล้วอย่างไร?”นางส่ายหน้าอย่างระอา แล้วประคองมารดาให้ลุกขึ้นอย่างอ่อนโยนทว่าอาศัยจังหวะนั้นกระซิบข้างหูนางเสียงค่อย“ท่านแม่อย่าร้อนใจ ลูกวางแผนไว้แล้ว จะไม่ให้นางแพศยาผู้นี้มีชีวิตรอดออกจากวังหลวงแน่นอน”ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ยินดังนั้น ไฟโกรธที่สุมทรวงจึงค่อย ๆ สลายไปส่วนฉู่ฮูหยินกำหมัดสองมือแน่นนางต้องแก้แค้นให้ลูกสาวแน่นนอน!แน่นอน!ไป๋ซวงเดินออกมาจากตำหนักเฟิ่งหลิน แล้วถอนหายใจยาวสถานที่อึมครึมเช่นนี้ นางไม่อยากจะมาเลยจริง ๆหากไม่ใช่เพราะซวี่เป่าขอร้อง
“ฮ่องเต้ทรงเกรงพระทัยเกินไปแล้ว พวกเราสองพี่น้องเจอปัญหาระหว่างทาง จึงทำให้มาช้าไปหลายวัน โชคดีที่ยังทันงานวันเกิดพระสนมเอก ไม่อย่างนั้นพวกเราสองพี่น้อง คงไม่รู้จะกลับไปรายงานเสด็จพ่ออย่างไร”องค์ชายสามโจวหลิงซางเอ่ยพลางยิ้ม โจวหวันฉี่ที่อยู่ข้างกันยิ้มอย่างเหนียมอาย“องค์ชายสามเกรงใจเกินไปแล้ว รีบนั่งเถอะ”“ขอบพระทัยฮ่องเต้”โจวหลิงซางกับโจวหวันฉี่ค่อย ๆ เข้าไปนั่งประจำที่ จากนั้นของขวัญที่พวกเขานำมาก็ถูกยกมาไว้ใจกลางตำหนัก“ฮ่องเต้ นี่คือของขวัญที่พวกเราเลือกมาให้พระสนมเอกจีโดยเฉพาะ หวังว่าพระสนมเอกจีจะชื่นชอบ”เมื่อโจวหลิงซางพูดจบ องครักษ์ที่แบกกรงเข้ามา ดึงผ้าสีแดงที่คลุมกรงออกภายในนั้นมีจิ้งจอกเก้าหางขนสีแดงเลือดตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมาทันทีรูปร่างของมันใหญ่โต น่าจะเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่โตเต็มวัยแล้วหางที่ทั้งใหญ่และยาว ส่ายไปมากลางอากาศดวงตากลมโตของมันเต็มไปด้วยความกระวนกระวายเมื่อได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของจิ้งจอกเก้าหางอย่างชัดเจน ทำให้ทุกคนในตำหนักตกตะลึงนี่น่าจะเป็นสัตว์พันธสัญญาสินะ?หนำซ้ำยังเป็นสัตว์พันธสัญญาระดับสูงทั่วทั้งดินแดนฮุ่นตุ้น สัตว์พันธสัญญาหาได้ย
“ซวี่เป่า!”จวินฉงตกตะลึงกับปฏิกิริยาของซวี่เป่า เมื่อตั้งสติได้ก็ตะโกนเสียงดัง แล้วเตรียมจะคว้าตัวซวี่เป่าไว้แต่ซวี่เป่ากลับไม่สนใจท่านปู่เลย แถมยังโคจรพลังวิญญาณเพียงชั่วพริบตา เขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าจิ้งจอกเก้าหางมุมปากของโจวหลิงซางเผยรอยยิ้มเหยียดหยามเล็กน้อย จากนั้นก็แอบโคจรพลังวิญญาณ แล้วเปิดกุญแจแห่งฟ้าดินที่กรงเหล็กออกเสียงกริ๊กดังขึ้น กรงเหล็กก็ถูกจิ้งจอกเก้าหางพุ่งชนจนเปิดออกร่างกายที่อ้วนท้วน พุ่งพรวดออกมาอ้าปากกว้างเห็นฟันน่ากลัว พร้อมกับยื่นกรงเล็บอันแหลมคมพุ่งโจมตีซวี่เป่าสีหน้าของจวินจิ๋วอิ่นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที กำลังอยากจะลงมือไป๋ซวงจึงยื่นมือออกไป ดึงตัวคนไว้นางมองซวี่เป่าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มเหยียดหยามแค่จิ้งจอกเก้าหางกระจอก ๆ ตัวหนึ่ง จะทำร้ายซวี่เป่าได้อย่างไร?จีหรงตกใจจนร้องเสียงหลง ลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความตื่นตระหนกนางอยากจะวิ่งไปหาซวี่เป่า แต่ถูกจวินฉงดึงเอาไว้วินาทีแรกที่ซวี่เป่าเพิ่งจะพุ่งลงไป เขาก็มองไปยังไป๋ซวงและจวินจิ๋วอิ่นเวลานี้ทั้งสองคนยังคงไม่ขยับเขยื้อน อีกทั้งแววตาของไป๋ซวงยังดูสงบนิ่ง ไม่มีความตึงเครียดและตื่นต
ซวี่เป่าหัวเราะอย่างมีความสุข แล้วโบกมือให้ไป๋ซวงและจวินจิ๋วอิ่นด้วยความตื่นเต้น“ท่านพ่อ ท่านแม่ ซวี่เป่ามีสัตว์พันธสัญญาแล้วนะ”“เก่งมาก”จวินจิ๋วอิ่นยิ้มอย่างเอ็นดู ส่วนไป๋ซวงก็ยิ้มพลางชูนิ้วโป้งให้ซวี่เป่าดีใจมากขึ้นไปอีก เห็นเพียงมือเล็ก ๆ ของเขาโบกไปโบกมาเบา ๆ ตรงหน้าจิ้งจอกเก้าหางจากนั้นยันต์สีทองก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ“ปรมาจารย์ยันต์? เขาเป็นปรมาจารย์ยันต์หรือนี่?” ไม่รู้ว่าใครร้องอุทานออกมา สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่เด็กน้อยคนนั้น“ไม่เพียงเท่านั้น...”มีคนอุทานด้วยความตกใจเบา ๆ อีกครั้งจากนั้นก็เห็นซวี่เป่านำยันต์ไปประทับลงบนหน้าผากของจิ้งจอกเก้าหางจิ้งจอกเก้าหางดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นมันก็ค่อย ๆ สงบลงภายใต้การทำงานของยันต์เมื่อมองไปที่ซวี่เป่าอีกครั้ง สายตาก็เต็มไปด้วยความเคารพ“ปรมาจารย์ฝึกสัตว์! เขายังเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์ด้วย!”เมื่อทุกคนมองไปที่ซวี่เป่าอีกครั้ง สายตาก็เต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยเฉพาะขุนนางของแคว้นเยาฮู่ พวกเขารู้ว่าซวี่เป่าเป็นอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณสามธาตุเวลานี้ยังได้เห็นความสามารถในการวาดยันต์และฝึกสัตว
ไป๋ซวงยิ้มหวาน แต่สำหรับนักพรตชราแล้ว กลับเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษนักพรตชราเห็นแล้ว ขนลุกซู่ไปทั่วทั้งแผ่นหลัง“มีคนชวนท่านอ๋องของข้าออกไปล่าสัตว์เป็นเรื่องโกหก วางยาพิษท่านอ๋องกลางทางต่างหากคือเรื่องจริง!”ไป๋ซวงพูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันหายไปแทนที่ด้วยแววตาที่ดุดันและเย็นเยียบโจวหลิงซางและโจวหวันฉี่ที่ยืนตกตะลึงอยู่ข้าง ๆ รวมถึงฮองเฮาเจียงเถียนและจวินหงคังตอนนี้ทุกคนต่างหน้าซีดเผือด!โจวหลิงซางกลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่า ฝืนทำท่าทางสงบพลางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว“พระชายาองค์ชายเก้า นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“หรือว่าข้ายังพูดไม่ชัดเจนพอ?”ไป๋ซวงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้โจวหลิงซาง“ท่านอ๋อง สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงหรือไม่?”จวินจิ๋วอิ่นยังคงจมดิ่งอยู่ในคำว่า ‘ท่านอ๋องของข้า’ จนถอนตัวจากความหวานนั้นไม่ได้เมื่อได้ยินดังนั้น ก็พลันยิ้มพลางเดินเข้าไปใกล้ไป๋ซวง“ฮูหยินพูดถูกที่สุด”“เหลวไหล จวินจิ๋วอิ่น พวกเราก็แค่แข่งขันล่าสัตว์เท่านั้น เหตุใดข้าถึงต้องวางยาพิษท่านด้วย? ข้าเป็นถึงองค์ชายสามแห่งแคว้นโจวอู้ ไม่ใช่คนที่ใครจะใส่ร้ายป้ายสีได้ง่าย ๆ ”
เวลานี้ สวีเหว่ยถือกระบี่แสงพุทธ ฟาดฟันกระบี่ไปที่ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีที่เพิ่งจะหักโค่นลงเบา ๆ ภายในชั่วพริบตา ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีต้นนั้น ก็ถูกตัดจนถึงโคนต้นสวีเหว่ยรู้สึกราวกับได้สมบัติล้ำค่า หันไปทางไป๋ซวงแล้วโขกศีรษะคำนับอย่างแรงสามครั้ง“ขอบพระทัยพระชายาองค์ชายเก้า ข้าน้อยจะตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้พระชายาผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ซวงพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับทำสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าเชื่อฟังดีมาก’นักพรตชราชุดขาวมองไป๋ซวงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“เมื่อครู่เจ้าทำอะไรลงไป?”แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่า สวีเหว่ยไอ้ขยะไร้ค่านั่น จะสามารถครอบครองกระบี่แสงพุทธของเขาได้“เจ้าก็เดาออกอยู่แล้วมิใช่หรือ?”ไป๋ซวงยิ้มแต่ไม่ตอบ พลางเหลือบมองไปที่เส้นเลือดบริเวณจุดชีพจรของเขาทันใดนั้น นักพรตชราชุดขาวก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยท่าทางสิ้นหวังใช่แล้ว หากต้องการให้กระบี่แสงพุทธที่เลือกนายแล้ว เชื่อฟังคำสั่งของผู้อื่นเช่นนั้น มีเพียงทางเดียวคือต้องเปลี่ยนนายของกระบี่แสงพุทธ ลวดลายกระบี่อันงดงามเมื่อครู่นั้น แท้จริงแล้วแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณที่แข็งแกร
ทุกคนสำลักจนต้องโบกมือไปมา ใช้แขนเสื้อปิดปากและจมูกทว่ามนุษย์ยักษ์นั้น ก็ไม่ได้ปล่อยนักพรตชราไปเพราะเหตุนี้นักพรตชราเห็นดังนั้นจึงรีบเก็บพลังวิญญาณของตนกลับคืน อาศัยช่วงที่ควันฝุ่นฟุ้งกระจาย หายตัวไปแล้วปรากฏตัวต่อหน้าไป๋ซวงคมกระบี่อันแหลมคม จ่อตรงไปที่คอของไป๋ซวง“อย่าขยับ มิฉะนั้นข้าจะฆ่านางเดี๋ยวนี้!”จวินจิ๋วอิ่นเห็นดังนั้น ก็รีบเก็บพลังวิญญาณของตนเองในทันที“เจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?”สายตาอันคมกริบของจวินจิ๋วอิ่น จ้องมองไปที่นักพรตชราผู้นั้นอย่างเต็มไปด้วยคำเตือนนักพรตชราหัวเราะอย่างลำพองใจ สายตามองสำรวจไป๋ซวงไม่หยุด“เจ้าคือศิษย์ของตาเฒ่าเฮยฉีนั่น?”“ตาเฒ่าเฮยฉีอะไรกัน ข้าไม่รู้จัก!”ไป๋ซวงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เป็นไปไม่ได้ ของในร้านฟู่หลิงซวนนั้น รวมถึงสมุนไพรในร้านเจินเฉ่าเก๋อ หากมิใช่ของตาเฒ่าเฮยฉี แล้วเด็กน้อยอย่างเจ้าจะไปหามาจากไหนได้?”สีหน้าของนักพรตชราชุดขาวเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แถมยังรู้สึกโกรธขึ้นมาเพราะคำพูดของไป๋ซวงไป๋ซวงยกยิ้มมุมปาก ไม่แม้แต่จะมองนักพรตชราชุดขาว“ของของข้า เหตุใดต้องบอกเจ้าด้วย?”“มีอย่างที่ไหนกั
ไป๋ซวงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นทว่านางเพิ่งคิดจะลงมือ ก็เห็นจวินจิ๋วอิ่นยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วสะบัดแขนเสื้อกว้างเบา ๆ พลังวิญญาณสายหนึ่งก็พุ่งออกไปเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับว่าอากาศสั่นสะเทือนไปหลายครั้งสีหน้าของจวินจิ๋วอิ่นเต็มไปด้วยความเย็นชา ดวงตาคมกริบราวกับมีดมองไปยังนักพรตชราชุดขาวนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นยืนอยู่กลางอากาศ มือทั้งสองข้างไขว้หลังชุดคลุมยาวตัวใหญ่ พลิ้วไสวอยู่กลางอากาศ และในขณะนี้ ทหารองครักษ์ก็กรูกันเข้ามา ล้อมรอบนักพรตชราชุดขาวผู้นั้นอย่างช้า ๆ “บังอาจนักเจ้ามือสังหาร ยังไม่ยอมจำนนอีก!”สวีเหว่ย หัวหน้าทหารองครักษ์ถือกระบี่วิเศษ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่นักพรตชราชุดขาวนักพรตชราชุดขาวหัวเราะลั่น มองสวีเหว่ยด้วยสายตาเหยียดหยามยิ่งไปกว่านั้น สายตายังมองกวาดมองทุกคนอย่างไม่เกรงกลัวราวกับกำลังกวาดมองฝูงมดปลวก“แค่ระดับจอมปราชญ์ยุทธ์ ก็กล้ามาอวดดีต่อหน้าข้า!”พูดจบ ก็ปล่อยแรงกดดันลงมาสวีเหว่ยขมวดคิ้วแน่น คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบปากยังถูกบังคับให้กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำจากนั้น แรงกดดันยังไม่จบสิ้นแรงกดดันที่ต่อเนื่อง
น่าเสียดายที่โจวหลิงซางกลับเชิญจวินจิ๋วอิ่นไปเข้าร่วมการล่าสัตว์ด้วยกันอย่างกระตือรือร้นท่ามกลางเสียงเรียกของผู้คน ทั้งสองคนไม่เพียงแต่รับคำท้า แต่ยังตั้งรางวัลอีกด้วยผู้ชนะสามารถสั่งให้ผู้แพ้ทำอะไรก็ได้หนึ่งอย่างดังนั้น สงครามระหว่างบุรุษสองคนจึงเริ่มขึ้นเมื่อจุดธูปขึ้น ทั้งสองคนก็ควบม้าออกไปอย่างบ้าคลั่งการแข่งขันครั้งนี้ ใครล่าได้จำนวนมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะเมื่อธูปเผาไหม้จนหมด ทั้งสองคนก็ควบม้ากลับมาพร้อมกันเหยื่อที่อยู่บนหลังม้าของทั้งสอง ดูเหมือนจะพอ ๆ กันเมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา ทันใดนั้นก็มีองครักษ์เข้ามาตรวจนับจำนวนเหยื่อที่ล่าได้ภายในเวลาธูปหนึ่งดอก โจวหลิงซางล่าสัตว์ได้สี่สิบสองตัวส่วนบนหลังม้าของจวินจิ๋วอิ่น มีสัตว์อยู่สี่สิบสามตัวยังดีที่ต่างกันแค่ตัวเดียว!โจวหลิงซางครุ่นคิดในใจ เมื่อครู่ เขาแอบมองจวินจิ๋วอิ่นจากระยะไกลความสามารถในการขี่ม้าและยิงธนูของเขานั้น ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ เนื่องจากผู้คนในดินแดนฮุ่นตุ้นล้วนเป็นผู้ฝึกตน เพื่อสัมผัสกับความสนุกสนานในการล่าสัตว์ของคนธรรมดา จึงได้มีการจัดงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงขึ้นและกฎข้อแรกของงานล่าสัตว์ฤดูใบ
หลายวันมานี้ นางพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าใกล้ไป๋ซวงแต่ก็จนปัญญา ไป๋ซวงไม่เคยให้โอกาสนางเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อยหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะสืบหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังไป๋ซวงได้อย่างไรโจวหลิงซางมองผิวน้ำอันเงียบสงบด้วยแววตาเย็นเยียบใช้นิ้วชี้ หมุนแหวนหยกขาวที่อยู่บนนิ้วหัวแม่มือเบา ๆ “หวันฉี่ เสด็จพ่อรอไม่ไหวแล้ว งานล่าสัตว์ครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของเรา”“แต่เสด็จพี่ ท่านก็เห็นแล้วนี่ว่าพวกเขาไม่ให้โอกาสข้าเข้าใกล้เลย”โจวหวันฉี่จะไม่ร้อนใจได้อย่างไรจดหมายของเสด็จพ่อ นางก็เห็นแล้วเช่นกันถ้อยคำที่รุนแรงนั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของเสด็จพ่อแล้วหากพวกเขายังไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เสด็จพ่อได้ เกรงว่าเสด็จพ่อจะต้องเปลี่ยนคนมาแทนและฐานะของพวกเขาพี่น้องสองคนก็จะสั่นคลอนแล้ว“ดังนั้น พี่จึงให้ฮ่องเต้จัดงานล่าสัตว์นี้ขึ้นมา ที่นี่เป็นสถานที่ที่สามารถเข้าใกล้ไป๋ซวงได้ง่ายที่สุด”โจวหลิงซางกล่าวจบก็ส่งสายตาที่มั่นใจให้กับโจวหวันฉี่จากนั้น ก็เดินตรงไปยังกระโจมของจวินหงคังเวลานี้ แม้ว่าจวินหงคังจะยังไม่สามารถเดินได้ แต่บาดแผลอื่น ๆ ตามร่างกาย ก็ได้รับการรักษาจนเกือบหายด
งานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ เนื่องจากมีองค์หญิงและองค์ชายสามแห่งแคว้นโจวอู้เข้าร่วมด้วย พื้นที่จึงใหญ่กว่าครั้งก่อน ๆ เล็กน้อยขุนนางทุกคนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าไปด้านในได้สองคนดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว ขุนนางหนึ่งคนจะพาภรรยาและลูกมาด้วยหนึ่งคนและเด็กคนนั้นต้องเป็นคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นพิเศษจากครอบครัวอย่างแน่นอนเดิมทีจีหรงก็ควรจะมาด้วย แต่นางทุ่มเทใจให้กับซวี่เป่า จึงไม่สนใจการล่าสัตว์แม้แต่น้อยดังนั้น นางจึงอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเพื่อนซวี่เป่าขบวนเดินทางมาถึงภูเขาเจี้ยงเหลียง ทุกคนต่างปฏิบัติตามคำแนะนำ ไปพักผ่อนในกระโจมของตนเองไป๋ซวงนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะด้วยความเบื่อหน่าย จิตใจรู้สึกหนักอึ้งใบหน้าของจวินจิ๋วอิ่นเผยรอยยิ้มเอ็นดู แล้วค่อย ๆ นั่งลงตรงหน้านาง“เป็นอะไรไป?”ไป๋ซวงเงยหน้าขึ้น สายตาแฝงไปด้วยความสงสัย“ทรัพย์สินของท่านเยอะหรือไม่?”จวินจิ๋วอิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะคาดไม่ถึงเลยว่าไป๋ซวงจะถามเช่นนี้เขายิ้มสดใสมากขึ้น แล้วยื่นมือไปกุมมือเล็ก ๆ ของนาง“ก็พอได้ น่าจะมากพอให้ฮูหยินใช้อย่างสบาย ๆ ”ไป๋ซวงปัดมือของเขาออก สายตาหม่นหมองยิ่งกว่าเดิม“ข
จวินจิ๋วอิ่นไม่ได้หยุดฝีเท้า เพียงแต่ตอบกลับอย่างเย็นชา“วันนั้นถ้าไม่มีซวี่เป่าช่วยไว้ เกรงว่าเสด็จพ่อคงไม่ได้เจอหน้าลูกตลอดกาลแล้ว”จวินหงคังต้องการเอาชีวิตของเขา แต่เขาแค่เอาขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไปเท่านั้นจวินฉงได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกทันทีความรักในครอบครัวราชวงศ์นั้น บางเบาราวกับปีกจักจั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจสูงสุด การห้ำหั่นกันเองในครอบครัว การฆ่าฟันกันเองระหว่างพี่น้องก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเขาก็ผ่านการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเช่นนี้มาแล้วเช่นกันแล้วเขาจะมีสิทธิ์อะไรที่จะเรียกร้องให้ลูก ๆ รักใคร่ปรองดองกันกันเล่า?เขาหวังเพียงแค่ว่า ลูกของตนจะสามารถเอาชีวิตรอดจากเกมการต่อสู้แย่งชิงนี้ไปได้ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่มีชีวิตรอดก็พอส่วนเขาก็ควรจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อตัดความคิดที่ไม่ควรมีของผู้อื่นเสียจวินจิ๋วอิ่นออกมาจากวังหลวง ไม่ได้กลับไปที่จวนอ๋องด้วยซ้ำเขาพาองครักษ์ลับสิบคน มุ่งหน้าไปยังจวนองค์ชายสามโดยตรงเป็นเวลากลางวันแสก ๆ แต่กลับพังประตูเข้าไปองครักษ์ของจวนองค์ชายสาม ยังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็ถูกซัดจนกระเจิง ใบหน้าปูดบวมกันทุกคน
มือสังหารถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุสิบคน จับเป็นได้สามคนและหลังจากการสอบสวน พบว่าทั้งสามคนนั้นเป็นคนของท่านอ๋องเก้าด้วยเหตุนี้ เจียงเถียนจึงไปร้องไห้ฟูมฟายกับจวินฉงในคืนนั้นจวินฉงจึงจำต้องเรียกตัวจวินจิ๋วอิ่นเข้าวังในคืนนั้นจวินฉงนำหลักฐานที่ส่งมาจากจวนองค์ชายสาม โยนใส่มือของจวินจิ๋วอิ่น“ว่าอย่างไร?”จวินจิ๋วอิ่นถือหนังสือรับสารภาพที่เปื้อนเลือดเหล่านั้น มุมปากอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา“ไม่มีอะไร!”จากนั้น ก็วางหลักฐานความผิดลงในมือของจวินฉงอีกครั้ง“คนพวกนั้นเป็นคนของเจ้าจริง ๆ หรือ?”จวินฉงไม่สนใจหลักฐานความผิดเหล่านั้น และมองเขาด้วยสายตาล้ำลึก“หากข้าต้องการเอาชีวิตของเขา ตอนนั้นข้าคงไม่ทำแค่หักขาของเขาเท่านั้น”จวินจิ๋วอิ่นไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย นั่งลงหน้าโต๊ะที่อยู่ทางด้านข้างอย่างไม่เกรงกลัว“ก็จริง พ่อก็เดาว่าไม่ใช่ฝีมือของเจ้า”เรื่องนี้ จวินฉงยังคงมั่นใจในตัวเองมากเรื่องที่จวินจิ๋วอิ่นลอบสังหารจวินหงคัง เขารู้มาตั้งนานแล้วแม้กระทั่งในวินาทีที่ข่าวเข้ามาถึงวังหลวง เขาก็เดาได้แล้วว่าเป็นฝีมือของจวินจิ๋วอิ่นเพราะว่าก่อนหน้านี้ คนเหล่านั้นลอบสังหารจ