ปันอวิ๋นจุ๊ปาก พูดกับตนเองเสียงต่ำ "หญิงสาวที่เก่งเกินไปจะไม่ยอมใครง่ายๆ สินะ"จั๋วซือหรานยกมุมปากขึ้น "เจ้าหุบเขาถ้าหากบอกว่าหญิงสาวที่ฉลาดเกินไปหลอกยากล่ะก็ มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ"ปันอวิ๋นครุ่นคิด เอ่ยต่อว่า "เฟิงเหยียนหมั้นไปแล้วแท้ๆ ถ้าเจ้าแต่งกับข้า ก็จะยิ่งทำให้เขาโมโหไม่ใช่รึ?""เจ้าหุบเขาไปรู้มาจากไหนว่าข้าเป็นคนที่จะใช้ชีวิตตัวเองเข้าไปล้างแค้นผู้อื่น?" จั๋วซือหรานถามขึ้น "เขาจะไปหมั้นกับใครก็ดี หรือจะไปแต่งกับใครก็ดี ล้วนไม่คู่ควรให้ข้าเอาชีวิตของข้าไปเดิมพันว่าเขาจะเสียใจไม่เสียใจ"ปันอวิ๋นเห็นรอยยิ้มบนหน้านางงดงามมาก เสียงเองก็ดูสงบมั่นคงเหมือนพูดเรื่องหนักให้เป็นเบา "ไม่มีใครคูควรให้ข้าเอาชีวิตไปเดิมพันว่าอีกฝ่ายจะเสียใจหรือไม่ ชีวิตข้าสำคัญที่สุด""จุ๊" ปันอวิ๋นจุ๊ปากอีกครั้ง คิ้วงามขมวดขึ้น "ดูท่าจะกล่อมอย่างไรก็ไม่คล้อยตามเลยนะ""เจ้าหุบเขาถ้าหากชอบข้าขนาดนี้ ก็ลองคิดหาวิธีอื่นเถอะ" จั๋วซือหรานยิ้มเรียบๆ ทำสัญญาณมือไปทางประตู "หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็อย่าทำให้ข้าเสียเวลาการตรวจไข้เลย กว่าข้าจะมานั่งตรวจให้มันไม่ง่ายนะ"หานกวงที่อยู่ข้างๆ ยังคงมองชายตรงหน้าอย่าง
จั๋วซือหรานส่งสายตาปลอบโยนให้นาง "ไม่ต้องเครียด"หานกวงกลับผ่อนคลายไม่ลง การคุกคามชีวิตในคำพูดนั้นของชายหนุ่มเจ้าเล่ห์คนนี้ก็เรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง นางฟังออกว่า แม่นางจิ่วเหมือนจะสนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว!แต่ แต่ว่า...! หานกวงรู้ว่านายท่านกับแม่นางจิ่วหวานชื่นมีอะไรกันแล้วนะดังนั้นอันที่จริงก็จินตนาการไม่ออกเลย ภาพที่แม่นางจิ่วไม่ได้ตกร่องปล่องชิ้นกับนายท่าน แต่กลับไปอยู่กับคนอื่นแทนหลังจากนั้น หานกวงก็เห็นแม่นางจิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ เอนหลังเข้าหาเก้าอี้ สองมือกอดที่หน้าอก มองเรียบๆ ไปทางปันอวิ๋นท่าทางนี้ของแม่นางจิ่ว...หานกวงรู้สึกคุ้นเคย รู้สึก...เหมือนว่าตอนแม่นางจิ่วจะเริ่มเจรจาเงื่อนไขกับใคร หรือเริ่มจะหลอกลวงใคร ก็จะมีท่าทางประมาณนี้ปรากฏขึ้นดังนั้นหานกวงที่เดิมทีเตรียมจะอ้าปากเตือน จึงอดทนเอาไว้ อยากจะเห็นว่าแม่นางจิ่วจะมีปฏิกิริยาเช่นไรจั๋วซือหรานมองปันอวิ๋น "เช่นนั้นก็ไม่ต้องลำบากเจ้าหุบเขาช่วยข้าจัดการองครักษ์เงาหรอก เพียงแต่ว่า เจ้าหุบเขาในเมื่อคิดจะเจรจาร่วมมือกับข้า..."ในตาจั๋วซือหรานมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นมา สวยงามมากแต่ตอนที่ปันอวิ๋นเห็นรอยยิ้มที่สวยง
หานกวงถามคำนี้อย่างระมัดระวัง จั๋วซือหรานยิ้มออกมาบางๆ มองหานกวง "ทำไมหรือ? กลัวว่าข้าจะไม่เอาซื่อจื่อของพวกเจ้าแล้ว?"หานกวงคิด ตอบกลับเสียงต่ำ "ไม่ใช่แค่นั้น ข้ายังกังวลแม่นางจิ่วจะหุนหันพลันแล่นเพราะรู้สึกน้อยใจ แล้วไปแสร้งทำตัวเอาใจกับคนที่ไม่ได้ชอบ"จั๋วซือหรานโบกมือเอ่ยขึ้น "เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เคยทำให้ตัวเองต้องน้อยใจมาโดยตลอด และแทบจะไม่เคยแสร้งทำตัวเอาใจใครด้วย แทนที่เจ้าจะมากังวลเรื่องนี้ สู้ไปกังวลว่าข้าไม่ชอบซื่อจื่อของเจ้าแล้วหรือเปล่าดีกว่านะ"หานกวงเบิกตากลม สายตาลนลานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "ไม่หรอกกระมัง?"จั๋วซือหรานยักไหล่เอ่ยเอ่ยขึ้นยิ้มๆ "ไม่แน่นะ? คนที่ไม่ชอบข้า ข้าเองก็ไม่ชอบ ข้าเองก็เป็นพวกรักก็รักชังก็ชังเสียด้วย""แต่ แต่ว่า..."จั๋วซือหรานไม่รอให้หานกวงเติมเชื้อฟืนอะไรให้เจ้านายนาง เอ่ยขึ้นว่า "ยิ่งไปกว่านั้นนั่นก็เป็นเจ้าหุบเขาหมื่นพิษเลยนะ ข้าต้องการให้เขาชี้แนะวิชากู่กับข้า แล้วเขาก็หน้าตาใช้ได้ด้วย"หานกวงในใจร้อนรนขึ้นมา แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะนางตอนนี้เริ่มกลัวแล้ว กลัวว่าตนเองยิ่งพูดอะไรต่อหน้าแม่นางจิ่วก็จะยิ่งไปเติมฟืนไฟให้นายท่านตนเอง
"เจ้าบอกข้าหน่อยว่านี่มันโรคอะไร? เฮอะ! เจ้าอย่ามาทำตัวรู้มากนัก ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเสียหน่อย! เจ้ามาทำตัวลึกลับแบบนี้คิดว่ามีคนหลงเชื่อ แล้วยกเจ้าเป็นหมอเทวดาเรอะ ก็แค่เด็กน้อยยังไม่โต ทำเป็ฯรู้มาก น่าขันเสียจริง"พนักงานข้างๆ คนหนึ่งรำคาญขึ้นมาแล้ว คิดจะไล่คนออกไป แต่ใครจะรู้ ว่าจั๋วซือหรานกลับไม่ได้รำคาญเลยสีหน้าบนหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก แค่มองคนคนนี้นิ่งๆ เอ่ยขึ้นว่า "ใครบอกเจ้าว่าเจ้าไม่ป่วย?"ชายหนุ่มตอบกลับทันที "ข้ามันคนแกร่ง! ไถนาได้สามไร่! กินข้าวมื้อละสามชาม!"พอสิ้นเสียงคนผู้นี้ จั๋วซือหรานก็เอ่ยรับเสียงเรียบ "แต่บนเตียงกลับทนได้ไม่ถึงสามนาที ไตพร่องพลังชี่ขาด น้ำเชื้อจึงเบาบาง แค่ลูกเจ้าก็มีไม่ได้ นี่หนักหนาอยู่นะ"จั๋วซือหรานพูด พลางเขียนตำรับยาพอได้ยินนางพูดเช่นนี้ รอบๆ จึงมีเสียงหัวเราะขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เห็นคนที่ดุดันขนาดนั้นก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับถูกแม่นางจั๋วจิ่วพูดไปสองสามคำจนหน้าซีด พูดอะไรไม่ออกไปแล้ว...มีคนแอบกระซิบว่า "สีหน้าเขาดูแย่มากนะ คงไม่ใช่ถูกแม่นางจั๋วจิ่วแทงถูกจุดเข้ากระมัง...""น่าขำชะมัด แม่นางจั๋วจิ่วนี่เก่งกาจจริงๆ"ชายห
จั๋วซือหรานตอนออกจากโรงหมอ ฟ้าก็มืดไปแล้วนางก้าวเดินออกจากโรงหมออย่างสบาย ผู้จัดการก็รีบเดินตามขึ้นมา "คุณหนู! ให้ข้าเรียกรถม้าให้ท่านไหม?""ไม่ต้อง" จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือ "ข้าเดินกลับไปก็พอ นั่งมาทั้งวันก็ได้ยืดเส้นยืดสายหน่อยพอดี"ผู้จัดการเดิมทีคำพูดติดอยู่มุมปากแล้ว กังวลว่านางที่เป็นหญิงสาวคนเดียวเดินกลับตอนกลางคืนอาจจะไม่ปลอดภัยแต่พอคำพูดขึ้นมาถึงมุมปากก็รู้สึกว่าตนเองโง่หรือเปล่า นี่มันใครกัน? นี่ใช่หญิงสาวอ่อนแอเสียที่ไหน? นี่แม่นางจิ่วนะ!กังวลว่าแม่นางจิ่วเดินกลับบ้านแล้วไม่ปลอดภัยเรอะ? สู้กังวลคนอื่นที่มายั่วโมโหแม่นางจิ๋วว่าจะปลอดภัยหรือเปล่าดีกว่า...จั๋วซือหรานเดินไปครึ่งหนึ่งแล้ว จึงพบว่าตนเองหิวจะแย่แล้ว จึงเดินไปยังร้านข้างทางร้านหนึ่ง ซื้อขนมปิ่ง ถือไว้ในมือ เดินไปด้วยพลางกินหงุบหงับไปด้วยตอนที่เดินยังไม่ถึงครึ่ง จั๋วซือหรานก็กินขนมปิ่งในมือหมดไปแล้ว ดูดนิ้วของตัวเองเบาๆหลังจากนั้นนางจึงมองนิ้วมันแผลบของตนเอง ยืนคิดๆ อยู่กับที่ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "ตามข้ามาตั้งนานแล้ว มีผ้าเช็ดมือไหม? ข้าอยากเช็ดมือ""..." รอบๆ นอกจากสายลมยามราตรีแล้ว ก็ไม่มีการเคลื่อนไห
จั๋วซือหรานคาดไว้แล้ว จึงไม่ได้ห้ามแสดงชัดเจนว่าไม่กลัวว่าเฟิงเหยียนจะรู้ กระทั่งพูดได้ว่า ตั้งใจให้เฟิงเหยียนรู้ด้วยซ้ำแล้วก็เป็นไปตามคาด นี่ก็ไม่ใช่เข้ามาแล้วหรือชายหนุ่มนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงรู้ว่า "ทำไมต้องเป็นปันอวิ๋น"จั๋วซือหรานฟังออก ว่าระหว่างชายหนุ่มกับปันอวิ๋น น่าจะมีอะไรกันอยู่ไม่เช่นนั้นปันอวิ๋นเองก็คงไม่ดื้อแพ่งคิดแต่จะบรรลุความร่วมมือหมั้นหมายกับนางแล้ว"แล้วทำไมถึงเป็นปันอวิ๋นไม่ได้" จั๋วซือหรานยิ้มเรียบๆ สายตามองเขา "เขาก็หน้าตาดีอยู่นี่""แค่เพราะเรื่องนี้หรือ?" ในดวงตาคิ้วที่เฉียมคมลึกซึ้งของชายหนุ่ม มีอารมณ์อื่นแทรกเข้ามา"ไม่อย่างนั้นจะเพราะอะไรล่ะ?" จั๋วซือหรานตอบ "เพียงแต่ ท่านอ๋องเอาฐานะอะไรเข้ามาถามข้ากัน?"จั๋วซือหรานมองสีหน้าเขา ในที่สุดก็ไม่เหลือรอยยิ้มใดอีก แม้แต่รอยยิ้มบางๆ ที่ไม่ได้อยู่ในดวงตาก่อนหน้า ก็หายไปจากใบหน้างามของนางหมดแล้ว"จะยุ่งมากไปหน่อยหรือเปล่า?" จั๋วซือหรานมองเขาสายตาเย็นชาชายหนุ่มถูกนางจ้องเย็นชาเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนในใจอะไรบางอย่างขาดหายไป เหมือนมุมไหนสักมุมกำลังถูกทิ่มแทงราวกับว่า...ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ไม่ควรจะ
จั๋วซือหรานหลังได้ยินคำนี้ ก็เพียงแค่ยิ้มบางๆ "ทุกคนไม่ใช่เด็กกันแล้ว ใครทำเรื่องอะไรไม่มีสาเหตุกันบ้าง""เพียงแต่สาเหตุของท่าน ผลของมันข้ากลับต้องมาแบกรับ ตอนนี้ใครเมืองหลวงใครไม่รู้บ้าง ว่าจั๋วซือหรานอย่างข้าถูกท่านอ๋องทอดทิ้งไปแล้ว" เนื้อหาในคำพูดของจั๋วซือหรานแม้จะเป็นเช่นนี้แต่ในน้ำเสียงอันที่จริงก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไร นางเหมือนจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล แข็งแกร่งเหมือนต้นกก"ข้าโดนบังคับให้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยไม่รู้สาเหตุ แล้วยังไม่ยอมให้ข้าได้คิดหาวิธีเองเลยหรือ?"ตอนที่นางพูดกับเฟิงเหยียน ใบหน้ายังมีรอยยิ้มจางๆ อยู่ด้วย ราวกับว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยนางเอ่ยต่อ "นี่มันเหตุผลอะไรกัน?"เฟิงเหยียนนิ่งงัน ไม่พูดอะไรไปพักหนึ่งจั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้น ไม่คิดจะรอให้เขาเอ่ยปากด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรสมองก็ไปหมดแล้วนี่ ในปากเองก็คงไม่มีคำพูดอะไรดีดีนักพอหมุนตัวจะเดินไป ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของชายหนุ่ม ดังลอดเข้ามาด้านหลัง "ปันอวิ๋นเป็นคนรู้จักเก่าของข้า"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ก็เดาได้อยู่"เฟิงเหยียนเม้มปาก คิ้วขมวด "ข้ากับเขามีบุญคุณความแค้นกัน ถ้าเขามาหาเรื่องเจ
หานกวงฟังฟังไม่ออกถึงอารมณ์ใดจากในน้ำเสียงเขา แต่ฟังออกว่า นายท่านไม่ค่อยเบิกบานนัก......จั๋วซือหรานให้ความสำคัญกับแม่และน้องชายมาโดยตลอด ดังนั้นตอนที่เซี่ยอวิ๋นเหนียงกลับเมืองหลวง จั๋วซือหรานจึงออกไปรับที่ประตูเมืองด้วยตนเองคนคุ้มกันที่เฝ้าประตูเมืองก็ล้วนเปลี่ยนผลัดกันมาจากค่ายป้องกันลาดตระเวน พอเห็นจั๋วซือหรานเข้ามา จึงกระตือรือร้นกันอย่างกับอะไรดีถ้าไม่ใช่จั๋วซือหรานปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก พวกเขาคงจะเอาเก้าอี้มาให้นางนั่งที่ประตูเมืองแล้ว...มานั่งเหมือนคนแก่ที่ประตูเมือง มันคงไม่ค่อยน่าดูนักแต่พวกเขากังวลว่าจั๋วซือหรานจะเหนื่อย ถึงแม้ในใจพวกเขาไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ ว่านี่คือจอมโฉดรับมือกับพวกโจรพรมแดนใต้มานะจอมโฉดอะไร? จอมโฉดก็ยังเป็นหญิงสาวนะ แล้วสองวันนี้อากาศก็เป็นช่วงที่อากาศเย็นลงด้วย ประตูเมืองเองก็มีลมผ่านรอบด้าน คนมารอที่นั่นนานๆ คงได้ถูกลมพัดจนตัวชาดังนั้นหัวหน้าหน่วยคุมกันประตูเมือง จึงมาเตือนอย่างหวังดี ให้จั๋วซือหรานไปนั่งรอที่แผงน้ำชาข้างทางดีกว่า"ถ้ารถม้าของฮูหยินมาถึง ข้าจะมาแจ้งแม่นางทันทีเลย ไม่ต้องกังวล คอยหลบลมอยู่ตรงนี้เถิด วันนี้ลมแรงมากจริงๆ"อีกฝ่า
จั๋วซือหรานพอได้ยินเขาพูดถึงจุดนี้ ก็รู้ว่าเรื่องในอดีตเหมือนจะจบลงแล้ว นางก็เหมือนคนที่เพิ่งยกภาระออกจากอก ถอนหายใจยาวออกมาเงียบๆเฟิงอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางดูแล้วไม่ได้เย็นเยียบเหมือนก่อนหน้าขนาดนั้นแล้วมองออกไม่ยาก เขาก็เหมือนเพิ่งยกภาระออกจากอกเช่นกันมีแต่ฟ้าที่รู้ว่าเขาแบกเรื่องนี้ไว้มานานแค่ไหน คำพูดเมื่อครู่นี้ คือคำตอบที่ให้กับนาง ขณะเดียวกันอาจจะเป็นการปลดปล่อยความรู้สึกตนเองออกมาด้วยก้ได้? จั๋วซือหรานคิดในใจจากนั้นก็คือความงงงัน พอย้อนนึกถึงความคิดนี้อีกครั้ง ก็จริง มีแต่ฟ้าที่รู้ว่าเขาแบกเรื่องนี้ไว้แล้วนานแค่ไหนจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "เฟิงเหยียนไม่รู้เรื่องนี้เลย" นางใช้น้ำเสียงที่ยืนยัน ถ้าหากเฟิงเหยียนรู้เรื่องนี คงไม่มีทางมีท่าทีแบบนั้นกับพ่อของเขา...ท่าทีที่เหมือนว่าพ่อเป็นต้นเหตุของทุกสิ่งอย่างยิ่งไปกว่านั้น...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว บอกต่ออีกว่า "ตระกูลเฟิงไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาไม่รู้ว่าท่านฟื้นคืนความจำแล้ว...ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางเอาความเสียงอย่างท่านมาไว้ในตระกูล กระทั่งยังให้ความสำคัญเป็นพิเศษด้วย"เฟิงอวี้มองนาง ในดวงตามีสีหน้าเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
ดวงตาของเฟิงอวี้ ราวกับมีสีแดงเลือดแผ่ขยายออกมา "หลังจากนั้นรึ?""ข้ารู้การตัดสินใจของพวกเขา และรู้ว่าการมีลูกให้กับคนที่แบกพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงไว้มันอันตรายแค่ไหน ดังนั้นจึงตัดสินใจไว้แล้ว ข้ากับเสวี่ยเจินชีวิตนนี้จะไม่มีลูกกัน"พวกเขาบอกกับข้าว่า จะปล่อยข้าไปก็ได้อยู่ แต่ถ้าข้าอยากให้เสวี่ยเจินอยู่รอดปลอดภัย ก็ต้องให้ตระกูลมีคนที่จะแบกโชคชะตาอีกคนปรากฏขึ้นมา แต่เนื่องจากพฤติกรรมการหลบหนีของข้ากับเสวี่ยเจินก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเชื่อใจข้าได้แล้วดวงตาจั๋วซือหรานเบิกโพลงขึ้นมา เหมือนพอจะเดาถึงสถานการณ์ภายหลังนี้ได้ "พวกเขาเลยลบความทรงจำของทม่าน""ใช่ พวกเขากลัวข้าจะหนีไปกับเสวี่ยเจินอีก เลยจะลบความทรงจำข้าออกไป" เฟิงอวี้ตอบ "ข้าจึงรับปากไป""เพราะอะไร?" จั๋วซือหรานเม้มปาก "นั่นมัน...อาจจะเป็นกับดักชัดๆ"อันที่จริงที่จั๋วซือหรานอยากพูดคือนั่นมันเป็นกับดัก นางพูดอ้อมลงหน่อยเฟิงอวี้หัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง ฟังแล้ว...เย็นชามาก เขาไม่ได้อ้อมค้อม เขาเอ่ยขึ้นว่า "นั่นล่ะคือกับดัก""แต่ข้าตอนนั้นคิดว่า ถ้านั่นเป็นกับดักข้าก็ต้องยอมแล้ว พวกเขาก็แค่อยากให้ข้าเป็นคนแบกโชคชะตาตร
จั๋วซือหรานรู้ ตนเองเดิมพันไว้แล้ว"เจ้าถามได้อีกสองข้อ""ขอสาม" จั๋วซือหรานต่อรองเฟิงอวี้เหมือนจะรำคาญ คิ้วขมวดแน่น แต่กลับไม่พูดปฏิเสธอะไรจั๋วซือหรานถาม "ตอนนั้น ท่านสมัครใจหรือเปล่า"สายตาคมเหมือนกระบี่ของเฟิงอวี้จู่ๆ ก็มองไปทางจั๋วซือหราน "เจ้านี่กล้าหาญเสียจริง เจ้ารู้ไหมว่าตนเองถามอะไรออกมา""รู้สิ" จั๋วซือหรานพยักหน้าอย่างตั้งใจ "ข้ากำลังถาม ว่าท่านตอนนั้นเป็นเหมือนเฟิงเหยียนที่จำข้าไม่ได้ เรื่องที่เสียความทรงจำเกี่ยวกับภรรยาไป ท่านสมัครใครหรือเปล่า?"เฟิงอวี้จ้องมองตานาง กัดฟันตอบเสียงลอดไรฟันมาคำหนึ่ง "ใช่"จั๋วซือหรานลมหายใจสับสนขึ้นมา ถามคำถามที่สองต่อ "เช่นนั้น เฟิงเหยียนที่สูญเสียความทรงจำตัวข้าไป เรื่องนี้เขาก็สมัครใจอย่างนั้นหรือ?"สายตาเฟิงอวี้ยังคงจ้องที่นาง ไม่ได้ย้ายไปไหน เขาไม่ได้ตอบทันที แต่ถามมาว่า "เด็กน้อย เจ้ารู้เรื่องพวกนี้แล้วมันมีความหมายอะไร? ขอเตือนเจ้าไว้นะ ตอนที่ควรจะดูแลตัวเองก็ดูแลตัวเองไปซะ ตอนนี้เจ้เาองก็มีความสุขดีอยู่ไม่ใช่หรือ?"จั๋วซือหรานเม้มปากแน่น ฟันในปากออกแรงกัดแน่น ในปากมีกลิ่นคาวเลือดแผ่ออกมา นางเอ่ยขึ้นว่า "นั่นมันเรื่องของข้
จั๋วซือหรานเห็นขั้นตอนสีหน้าขรึมลงของเฟิงอวี้อย่างชัดเจน ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้สีหน้าเขายังมีความอบอุ่นที่ไม่ใส่ใจแยแสอยู่บ้างล่ะก็ตอนนี้ กระทั่งความอบอุ่นสักนิดก็ไม่เหลืออยู่แล้วยิ่งไปกว่านั้นสีหน้ากับสายตาเขาตอนนี้ กระทั่งจั๋วซือหรานก็ยังรู้สึกว่า...อันตรายในความเป็นจริง หลังจากที่นางข้ามมาอยู่ในโลกแปลกหน้านี้ ก็ไม่ค่อยจะรู้สึกถึงความอันตรายแบบนี้เท่าไรนักดังนั้นตอนนี้จู่ๆ สัมผัสความรู้สึกนี้ได้ขึ้นมา บนหน้าแม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด แต่ในใจก็ญังสั่นสะเทือนขึ้นมาบ้างเหมือนกันสิ่งนี้ทำให้จั๋วซือหรานรู้สึกว่า บางทีเฟิงอวี้ที่ตนเองพบมาก่อนหน้านี้ เป็นแค่การเสแสร้งแกล้งทำส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้นส่วนตัวจริงของเขา อันที่ซ่อนอยู่ลึกเอามากๆมือจั๋วซือหรานกำแน่นเล็กน้อย นิ้วกดไปบนแหวนเสวียนเหยียน เตรียมการรับมือต่างๆ เอาไว้แล้วถ้าหากเฟิงอวี้จะทำอะไรจริง อย่างน้อยนางก็ยังมีปฏิกิริยาได้ทันทีดวงตาจ้องเขม็งไปที่เฟิงอวี้ คอยจับการตอบสนองของสีหน้าเขาตลอดเวลากระทั่งยังไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วจั๋วซือหรานในที่สุดก็เจอกับการตอบสนองของเฟิงอวี้ พอจะถอนใจโล่งออกมาได้ เฟิงอวี้
จั๋วซือหรานเดินขึ้นหน้ามาหลายก้าว กระโจนลงมาจากหลังคาอย่างแผ่วเบา"เจ้าเองก็กล้านัก มองข้าเป็นคนตระกูลเฟิงที่เจ้าจัดการไปก่อนหน้านี้หรือ" เสียงเขายังคงราบเรียบ ไม่มีอุณหภูมิใด ฟังแล้วมีความน่าเกรงขามอันสูงส่งอยู่จั๋วซือหรานยังคงมีท่าทีคล้ายๆ กับก่อนหน้านี้ ยิ้มจางๆ เอ่ยขึ้นว่า "ไม่ใช่เสียหน่อย แต่ว่า ก็ไม่ได้จัดการยากกว่าพวกเขานักหรอก""พูดจาใหญ่โตเหลือเกิน""ถ้าข้าคิดจะทุ่มสุดกำลังให้พังกันไปข้างล่ะก็ ต่อให้ข้าจะจบไม่สวย แต่ถ้าจะเอาท่านไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร" จั๋วซือหรานตอนที่พูดคำนี้ มุมปากยกโค้งขึ้น อุณหภูมิค่อยๆ ลดลงมาแล้วนางจ้องเขา ถามขึ้นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "จะลองดูไหมล่ะ?"นางจ้องเขม็งจั๋วซือหราน หลังจากมองไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า "ทำไมหรือ เจ้าเข้ามากลางดึก นั่งยองอยู่บนหลังคาข้าตั้งนานสองนาน แค่เพื่อจะมาทุ่มสำกำลังให้พังไปข้างอย่างนั้นเรอะ?"พอสิ้นเสียงเขา ก็เห็นว่าจั๋วซือหรานเปลี่ยนสีหน้าและท่าทีแล้วบนหน้านางเริ่มเปลี่ยนเป็นยิ้มตาหยี แม้รอยยิ้มนี้จะดูไม่ค่อยจริงใจนักก็ตามเพียงแต่ว่า นางก็เอ่ยเรียกเขาขึ้นว่า "ลุงเฟิง ที่ข้ามาครั้งนี้ มีเรื่องอยากให้ชี้แน
จวนตระกูลเฟิงเพราะช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจาก 'นังบ้า' นั่นวันวันเอาแต่มาสังหารคนที่จวนพลังคนคุ้มกันจวนตระกูลเฟิง จึงเพิ่มขึ้นมาไม่ใช่แค่เท่าตัวแต่หญิงสาวคนนั้นยังคงมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต่อให้ถูกคนคุ้มกันพบตัวก็ไม่เกี่ยวอะไร ไม่ได้ทำให้การมาที่นี่ทุกวันของนางล่าช้าลงและในช่วงนี้ก็ถือว่าหยุดลงไปบ้าง พลังคนคุ้มกันของจวนตระกูลเฟิงจึงค่อยๆ กลับไปเป็นระดับธรรมดาแบบก่อนหน้าใครเองก็ไม่รู้ ว่าคืนนี้ คนที่ทำให้พวกเขาวุ่นวายใจมาตลอด จะลอบเข้ามาในจวนตระกูลเฟิงอีกครั้งเรือนแห่งหนึ่งที่แม้จะดูไม่ใหญ่นัก แต่มองแล้วก็สงบสงบเงียบงดงามร่างดำปราดเปรียวร่างหนึ่งอยู่บนสันหลังคา มองพระจันทร์สว่างบนฟ้าสูงริมฝีปากขยับเล็กน้อย เหมือนกำลังพูดกับตัวเอง หากอยู่ใกล้เข้าไปหน่อย น่าจะได้ยินเสียงหึ่งๆ ประโยคหนึ่งจากปากนาง...พระจันทร์ที่ทั้งโตทั้งกลมแบบนี้ ไม่ถือเป็นคืนมืดมิดลมแรงเลยแฮะนางอยู่บนหลังคา มองเรือนที่อยู่ด้านล่างในเรือน ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เหมือนกำลังดื่มสุราชมจันทร์แต่ดวงตากลับปิดอยู่ เหมือนว่าหลับไปนานแล้วขวดสุราที่หว่างนิ้ว สุราหยดจากปากขวดไปบนพื้น สุราหย
จั๋วซือหรานแหงนตามองท่านแม่ผาดหนึ่ง "ท่านแม่อยากพูดอะไร? ทำไมพอจะพูดแล้วหยุดไปล่ะ?""หรานหราน ท่านอ๋องสำเร็จราชการแทนคนนั้นเหมือนจะมีความรู้สึกให้เจ้าใช่ไหม...""อา" จั๋วซือหรานขานรับ "ใช่""แล้วเจ้า..." เซี่ยอวิ๋นเหนียงมองนาง หลักๆ คือ พอคิดว่าลูกสาวตนเองดีขนาดนี้ กลับยังถูกเฟิงเหยียนทรยศทั้งที่มีคนที่ยอดเยี่ยมอย่างอ๋องสำเร็จราชการแทนที่สนใจนางอยู่แท้ๆ...จั๋วซือหรานฟังความหมายของเซี่ยอวิ๋นเหนียงออก นางยิ้มๆ "ท่านแม่ ต่อให้ข้าไม่ได้หลงเฟิงเหยียนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าหาชายคนไหนเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้เสียหน่อย"เซี่ยอวิ๋นเหนียงรู้ว่าลูกสาวฟังความกังวลในคำพูดนางออกเซี่ยอวิ๋นเหนียงถอนใจเบาๆ "ข้าก็แค่กังวล""ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย" จั๋วซือหรานนำสองมือกดบนบ่าเซี่ยอวิ๋นเหนียง "ท่านแม่ ข้าสบายดี ไม่มีอะไรหรอก"เซี่ยอวิ๋นเหนียงวางใจต่อตัวนางมาตลอด อันที่จริงก็ฟังออกว่า ลูกสาวเข้าวังครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อจับชีพจรให้พวกองค์จักรพรรดิเท่านั้นในขั้นตอนนี้ จะต้องเอาแม่คนนี้ไปฝากฝังไว้แล้ว ให้ช่วงที่นางต้องออกเดินทางไกล ไม่ต้องมาเป็นห่วงอันตรายของแม่ไม่ว่าจะตอนไหน สำหรับลูกสาวคนนี้ เซี
องค์จักรพรรดิเฒ่าไม่ได้โง่ แน่นอนว่าฟังความหมายของจั๋วซือหรานออกนางให้ท่านแม่อยู่ในเมืองหลวง ก็เท่ากับเอาจุดอ่อนของตนเองไว้ในเมืองหลวง เพื่อให้องค์จักรพรรดิเฒ่าวางใจดังนั้นต่อให้เห็นแก่หน้า องค์จักรพรรดิเฒ่ากับอ๋องสำเร็จราชการแทน ก็ต้องคอยดูแลแม่ของนางอยู่ระดับหนึ่งดังน้้นองค์จักรพรรดิจึงบอกว่ นางเป็นคนฉลาดฉับไว แล้วยังอ่อนโยนจิตใจดีด้วย...พอได้ยินเสด็จพ่อพูดเช่นนี้ ซือคงเซี่ยนเดิมทียังคิดจะพูดอะไร แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง แค่ช่วงถอนหายใจเบาๆองค์จักรพรรดิเฒ่าก็เอียงตามองเขา "เอาล่ะ รู้ว่าเจ้าก็เป็นห่วง รีบไปเถอะ จริงด้วย นางทำถึงขนาดนี้แล้ว ถ้านางมีความต้องการอะไร หากไม่ใช่ปัญหาใหญ่ก็รับปากนางเถอะ""ทราบแล้ว" ซือคงเซี่ยนหลังจากรับคำ ก็ประสานมือบอกลาเสด็จพ่อ เดินตามจั๋วซือหรานไป"ท่านอ๋อง" จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งซือคงเซี่ยนก้มลงมองนาง "เดินช้าขนาดนี้ กำลังรอข้ารึ?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ใช่สิ ข้าจะไปจับชีพจรให้พระสนมเอกกับไทเฮาเองมันจะดูอึดอัดหน่อยๆ น่ะ"ซือคงเซี่ยนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ "หมอชายของสถาบันแพทย์หลวงแต่ก่อนนี้ยังรักษาให้ไทเฮาพระสนมอย่างสบายแท้ๆ เจ้าเป็นแค่หญิงสาวที่ย
จั๋วซือหรานปิดกรงนกลง เอ่ยต่อว่า "ชีพจรของฝ่าบาทแข็งแรงมาก""อื๋อ?" องค์จักรพรรดิเฒ่าตกตะลึง "เจ้ามาจับชีพจรข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน?"จั๋วซือหรานตาโค้งชูนิ้วขึ้นกระดกนิ้ว ไหมกู่เส้นหนึ่งค่อยๆ ปรากฏออกมา "เมื่อครู่ตอนที่เล่นกับนกน้อย ข้าก็จัดการจับดูแล้ว"องค์จักรพรรดิเฒ่าเห็นไหมกู่เส้นนั้น ยังมีความระแวดระวังขึ้นมา หลักๆคือเพราะรู้ว่าวิชากู่ของจั๋วซือหรานอยู่ในระดับสูงจั๋วซือหรานเก็บไหมกู่กลับมา "หม่อมฉันจะจัดตำรับยาบำรุงร่างกายไว้ให้ฝ่าบาทดื่ม ถ้าหากร่างกายไม่สบายแล้วฝ่าบาทไม่ไว้ใจแพทย์จากสถาบันแพทย์หลวงพวกนั้น จามาระให้คนไปที่โรงหมอของหม่อมฉัน พอกับเหยียนเจินเหยียนฉีสองพ่อลูกได้""คนตระกูลเหยียน!" องค์จักรพรรดิเฒ่าเดิมทียังมีใบหน้าอ่อนโยน แต่พริบตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา "พูดถึงคนตระกูลเหยียน การลงโทษพวกเขาจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้แล้ว!"องค์จักรพรรดิเฒ่ามองจั๋วซือหราน "แล้วเจ้ายังถูกใจท่านอ๋องตระกูลเฟิงคนนั้นอีกไหม แม้เขาตอนนี้จะหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลเหยียน แต่ไม่นานก็คงจบกันแล้ว"จั๋วซือหรานฟังถึงจุดนี้ สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนัก อันที่จริงความเป็นไปได้นี้ นางเองก็คาดเดาไว้แล้