อารามเต๋าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยการที่นักพรตจื่อหยางขอให้อวิ๋นเยว่หยางช่วยเหลือ ต้องใช้ทั้งความทุ่มเทและกำลังแรงที่มากมาย เพื่อหวังจะได้รับพลังอันมหาศาลจากเทพชั่วร้าย เขาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย ว่าคืนนี้กลับถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหราน เพราะกำแพงถูกทำลาย เทพชั่วร้ายไม่สามารถดูดกลืนพลังได้ พลังจึงตีย้อนกลับมาหาเขา!นักพรตจื่อหยางพานักพรตน้อยวิ่งหนีออกมาจากข้างใน เอ่ยอย่างดุร้าย "ฆ่าพวกมัน!" ทันทีที่เขาเอ่ยจบ ดวงตาของนักพรตน้อยเหล่านั้นก็กลายเป็นสีแดงสด และพุ่งเข้ามาโจมตีพวกเขา เยียนเซียวหรานตวัดกระบี่ขวางพวกเขาเอาไว้ แต่ก็พบว่าพละกำลังของพวกเขาพลันเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดูชั่วร้ายอย่างยิ่งซือเจ๋อเยว่หลับตาและท่องคาถาต่อไป นักพรตจื่อหยางกระตุกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น "ตนเองยังเอาตัวไม่รอด ยังคิดจะช่วยคนอื่นอีกหรือ?" เขาเอ่ยจบก็ตวัดกระบี่ในมือ หมอกดำลอยออกมาจากกระบี่ พุ่งเข้าใส่ซือเจ๋อเยว่ ซือเจ๋อเยว่ยังคงท่องคาถาต่อไป ใช้มือข้างหนึ่งสร้างมุทราเพื่อป้องกันหมอกดำ ในดวงตาของนักพรตจื่อหยางมีความแปลกใจปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย ยามที่นางใช้กระบี่ไม้ท้อฟาดพันปีฟันวิญญาณร้ายก่
ในที่สุด เยียนซุ่ยซุ่ยก็นึกถึงวิธีที่เคยใช้ในการรักษาซือเจ๋อเยว่ยามที่นางหมดสติครั้งก่อน นางลองใช้วิธีการฝังเข็มให้กับร่างกายของซือเจ๋อเยว่ดูอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าซือเจ๋อเยว่มีสีหน้าดีขึ้น นางก็ทำเช่นนี้ทุกวัน หลังจากใช้วิธีการลองผิดลองถูกในการฝังเข็มให้ซือเจ๋อเยว่ไปหลายวัน สีหน้าของนางก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหลับสนิทไปถึงเจ็ดวันเต็ม ก่อนจะฟื้นขึ้นมาอย่างแท้จริง ซือเจ๋อเยว่ยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น "ข้าไม่เป็นไร พักผ่อนอีกไม่กี่วันก็คงดีขึ้น" นางยกแขนขึ้นเพื่อมองดูข้อมือของตนเอง ก็พบว่าเส้นสีแดงที่ข้อมือกลับมาเหลือเพียงเล็กน้อยอีกครั้งนางอดไม่ได้ที่จะสบถในใจอย่างเดือดดาล ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าก่อนที่นางจะหมดสติไปนางดูดกลืนอายุขัยจากเยียนเซียวหรานมาได้มากมาย แต่ยามนี้กลับหายไปหมดอีกแล้ว?นางเพียงแค่ต่อสู้กับนักพรตชั่วที่หน้าประตูของอารามเต๋าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เส้นสีแดงถึงกับหายไปมากมายเพียงนี้เชียวหรือ?เจ้าบ้านี่ คล้ายดั่งเจอผีไม่มีผิด!ไม่สิ ต่อให้เจอผีก็ไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนี้!นางถามขึ้น "ข้านอนหลับไปนานเพียงใดแล้ว?" เยียนเหนียนเหนียนตอบไป "เจ็ดวัน องค์หญิง ขอโทษด้ว
แท้จริงแล้วเยียนเซียวหรานไม่อยากพบนางเพียงลำพังนัก สำหรับเรื่องพลังชั่วร้าย เขากลับไม่กังวลอันใด เพราะเขาคุ้นเคยกับมันมานาน ครั้งนี้จึงไม่มีผลกระทบมากนัก เพียงแต่เขารู้ว่าการที่ซือเจ๋อเยว่เรียกหาเขา ต้องมีเรื่องอื่นเป็นแน่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กว่าเขาจะไปหานางก็ช่วงบ่ายแล้วเมื่อมาถึงเขาก็ไม่ได้เข้าไปในห้องนอน แต่ยืนอยู่ด้านนอกใกล้ฉากกั้นลมแล้วเอ่ยขึ้น "องค์หญิงอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นใช่หรือไม่?" "วันนั้นหลังจากองค์หญิงหมดสติไป ข้าขับไล่พวกนักพรตน้อยเหล่านั้นออกไป และกลัวว่านักพรตเฒ่าจะแผลงฤทธิ์ จึงพาตัวองค์หญิงออกมาทันที" ซือเจ๋อเยว่เห็นเงาของเขาผ่านฉากกั้นลม นางรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาไม่ยอมเข้ามาใกล้ ซึ่งนางในสภาพนี้ก็ไม่สามารถกระโดดไปอยู่ด้านหน้าเขาได้ นางจึงถามเขาเกี่ยวกับเรื่องสำคัญโดยตรง "นักพรตเฒ่าไม่ได้ทำร้ายเจ้าหรือ?" "ทำ" เยียนเซียวหรานตอบ "แต่ยามที่เขามาแย่งกระบี่ไม้ท้อ เขากลับถูกยันต์บนด้ามกระบี่ทำให้กระเด็นกลับไป" ซือเจ๋อเยว่หัวเราะขึ้นมา "ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเฒ่าขี้ขลาดคนนั้นจะต้องมาแย่งกระบี่ไม้ท้อ" เยียนเซียวหรานมองลึกลงไปในด
ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว พลางถามขึ้น "หากครั้งนี้ก็ยังไม่สามารถหาตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้ เราเสียเวลาเปล่าหรือ?""ก็ไม่ถึงกับเสียเวลาเปล่า" เยียนเซียวหรานตอบเสียงเรียบ "ข้าคาดเดาได้บ้างแล้วว่าผู้ใดคือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง"ซือเจ๋อเยว่ถามด้วยความสงสัย "ผู้ใดหรือ?"เยียนเซียวหรานมองนางผ่านฉากกั้นลม มันเป็นฉากกั้นลมกึ่งโปร่งแสง เขาเห็นร่างกายที่อ่อนแอของนางนอนอยู่บนเตียงได้อย่างเลือนรางเขานึกถึงการคาดเดาของตนเอง เดิมทีเรื่องการวางแผนที่โหดร้ายเจ้าเล่ห์ของราชสำนักที่มีต่อจวนเยียนอ๋องไม่เกี่ยวข้องกับนางแต่ยามนี้กลับลากนางเข้ามาในวังวนใหญ่ของจวนเยียนอ๋องจวนเยียนอ๋องเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เขายังรับมือไม่ไหวซึ่งนางที่ถูกส่งไปยังสำนักเต๋าตั้งแต่ยังเด็ก พลัดพรากจากญาติสนิท เมื่อกลับมายังเมืองหลวงก็ถูกญาติสนิทคิดร้าย นางจึงเป็นคนที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งอย่างแท้จริงเขาคิดถึงสิ่งเหล่านี้แล้วใจอ่อนลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา "องค์หญิงร่างกายยังไม่หายดี พักฟื้นให้สบาย เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง"ซือเจ๋อเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ก็ได้ หากเจ้าไม่อยากเอ่ยก็ไม่ต้องเอ่ย"นางเพิ่งมาเมืองหลวงไม่นาน บา
สีหน้าของเยียนเซียวหรานเปลี่ยนไปเล็กน้อยเรื่องที่นางจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงสิบแปดปี เขาเองก็รู้ แต่ก็ไม่ได้เชื่อมากนักเพราะหากนางไม่ป่วยนอนบนเตียง ก็จะดูมีชีวิตชีวา ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาไม่มีผู้ใดจะเชื่อมโยงเรื่องตายก่อนไวอันควรกับนางแต่ความจริงคือนางเป็นคนที่แม้แต่ชีพจรก็ไม่มี พลังของคาถาลัทธิเต๋าสูงส่งแต่ใช้เมื่อใดก็จะเป็นลมหมดสติไปแล้วเขาเอ่ยเสียงเบา "ข้าจะหาหมอดีๆ มาให้องค์หญิง จะต้องรักษาได้แน่"ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจเสียงเบา "โรคของข้า หมอรักษาไม่ได้ แต่มีคนหนึ่งที่รักษาได้"เยียนเซียวหรานถาม "ผู้ใด?"ซือเจ๋อเยว่ไม่เอ่ยวาจาใด แต่หันไปมองเขาสายตาของเยียนเซียวหรานเปลี่ยนไปหลายครั้ง แล้วถามขึ้นอีกครั้ง "ผู้ใด?"ซือเจ๋อเยว่นึกถึงนิสัยที่เคร่งครัดของเขา คิดว่าหากนางบอกว่าเป็นเขา วิธีการรักษาคือกอดและจูบตนเอง คงจะถูกเขาตบให้ตายอยู่เสียตรงนี้คำกล่าวที่นางจะเอ่ยจึงเปลี่ยนไป "อาจารย์ใหญ่ของข้า แต่เขาเดินทางไปไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาอยู่ที่ใด""คาดว่ากว่าจะหาเขาพบ ข้าคงตายไปหลายรอบแล้ว""ไม่เอ่ยเรื่องนี้แล้ว น้องสามช่วยข้าดื่มน้ำแก้วนี้ได้หรือไม่?"เยียนเซียวหร
เยียนเซียวหราน “...”แม้เขาจะรู้ว่านางกำลังพูดจาโป้ปด แต่เขาก็ไม่สามารถหักล้างได้เช่นกันในเวลานี้เอง เยียนซุ่ยซุ่ยเดินเข้ามา “องค์หญิง คนของวังหลวงมาอีกแล้ว เชิญท่านเสด็จเข้าวัง”ซือเจ๋อเยว่ไม่ได้มีความสนใจการเข้าวังหลวงสักเท่าไร จึงถาม “ผู้ใดในวังหลวงต้องการพบข้า?”เยียนซุ่ยซุ่ยตอบ “ฝ่าบาทเจ้าค่ะ”ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ หากเป็นอวิ๋นไท่เฟยนางยังสามารถแกล้งตายได้ หากเป็นฮ่องเต้เจาหมิงละก็ นางก็ไม่สามารถแกล้งตายต่อไปได้อีกแล้วนางกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “เอาเถอะ ข้าล้างหน้าเสร็จก็จะเข้าวัง”พระชายาเยียนอ๋องได้ยินข่าวเดินเข้ามาพร้อมกล่าว “หากองค์หญิงไม่สบาย ก็ไม่ต้องเข้าวังหรอก ฝ่าบาททรงเข้าใจได้”ซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เสด็จอาทรงเรียกพบ ต่อให้ข้าเหลือลมหายใจแค่เฮือกสุดท้ายก็ต้องเข้าวัง ต่อให้ต้องหามเข้าไปก็ตามเจ้าค่ะ”ในสายตาของพระชายาเยียนอ๋องมีความเป็นห่วงเล็กน้อยซือเจ๋อเยว่ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา แล้วค่อยให้เยียนซุ่ยซุ่ยช่วยหวีผมให้นางจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นค่อย ๆ เดินออกจากห้องเยียนเซียวหรานมองเห็นท่าทางนี้ของนาง ก็รู้สึกว่าตนเองอาจจะเข้าใจนางผิดไปแล้ว เป็นเพราะท่าทางของนา
ฮ่องเต้เจาหมิงได้ยินประโยคนี้ของนาง ก็หันหน้าไปมอง “นี่เจ้ากำลังโทษเราอย่างนั้นหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่เพคะ เดิมทีหม่อมฉันเติบโตมาในชนบท ที่ได้ร่ำเรียนย่อมเป็นความสามารถตามชนบทเพคะ”“หม่อมฉันเชื่อว่าทุกคนควรมีทักษะบางอย่างเป็นของตนเองเพคะ ถึงแม้ว่าความสามารถของหม่อมฉันจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมสักเท่าใดนัก แต่ก็มีประโยชน์เพคะ”“หม่อมฉันออกจากเรือนโดยไม่ต้องพกเงิน ไม่มีเวลาให้ใช้จ่ายเงินเพคะ เพียงแค่นั่งข้างถนน แขวนป้ายดูดวง ก็สามารถหาเงินเลี้ยงชีพตนเองได้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เจาหมิงโมโหจนหัวเราะออกมา “เจ้าเป็นถึงองค์หญิงผู้สง่าผ่าเผยของแคว้น ตั้งแผงข้างถนนดูดวงให้ผู้คน สมควรแล้วอย่างนั้นหรือ?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “หม่อมฉันใช้ความสามารถหาเงิน มีปัญหาอะไรหรือเพคะ? มีตรงไหนที่น่าอายกันเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิง “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวต่ออีกว่า “หม่อมฉันเติบโตในสำนักเต๋า หม่อมฉันไม่เรียนเรื่องพวกนี้ แล้วหม่อมฉันจะเรียนอะไรเพคะ?”“อีกอย่าง แม้ว่าสิ่งนี้จะนำความอับอายมาสู่ราชวงศ์ หม่อมฉันก็คงทำให้อับอายไม่นานนัก”“อย่างมากก็แค่จนกว่าหม่อมฉันจะอายุสิบแปดปี จวบจนบัดนี
ซือเจ๋อเยว่ตอบ “ไม่ทราบเพคะ เขาเอาแต่วิ่งไปทั่วทั้งวัน ผู้ใดจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนกันเล่าเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิงถามนาง “ยันต์ห้าอัสนีบาตรก็เป็นยันต์ที่อาจารย์ใหญ่ของเจ้ามอบให้เจ้า?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ใช่เพคะ ก่อนหน้าที่หม่อมฉันจะเข้าวัง เขามอบยันต์และคาถาให้หม่อมฉันเป็นกอง”“พูดว่าหากใครจะรังแกหม่อมฉัน ก็ให้ยันต์แผ่นหนึ่งแก่อีกฝ่าย รับรองว่าอีกฝ่ายจะต้องว่าง่าย”“แต่หม่อมฉันก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าอานุภาพของยันต์ห้าอัสนีบาตจะรุนแรงขนาดนั้น ถึงกับผ่าจ้าวซือหว่านจนตายทันที”นางพูดจบก็ขยับเข้าไปใกล้ตรงหน้าของฮ่องเต้เจาหมิง เอ่ยถาม “เสด็จอา ยันต์ห้าอัสนีบาตรผ่าเพียงสิ่งชั่วร้ายเท่านั้น เหตุใดหลังจากหม่อมฉันแปะจ้าวซือหว่าน นางก็ถูกฟ้าผ่าตายทันทีเลยเล่าเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิงมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่งแล้วกล่าว “เรื่องนี้เจ้าเองรู้อยู่แก่ใจ เหตุใดจึงถามข้า?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าเสด็จอาทรงทราบว่านางตายอย่างไร”“ในเมื่อเสด็จอาทรงทราบแล้ว เหตุใดจึงเรียกหม่อมฉันเข้าวังเพื่อซักถามเรื่องนี้เล่าเพคะ?”ฮ่องเต้เจาหมิง “...”นางอ้อมรอบหนึ่ง ทำให้เขาอ้อมเข้ามาติ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ
ไป๋จื้อเซียน “...”ในช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่เขาตายไป ไม่มีผู้ใดกล้าสั่งให้เขาทำเรื่องใดก็ตามตอนนี้ซือเจ๋อเยว่กลับให้เขาไปแสร้งทำเป็นผีเพื่อถ่วงเวลาทหารยาม นางเห็นเขาเป็นตัวอะไรกันแน่!เขาหันหน้ามองนาง นางประสานมือคำนับเขาพร้อมกล่าว “คุณชายไป๋ดีที่สุด รบกวนด้วย”ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับดวงดาว ในดวงตาแฝงไปด้วยความอ้อนวอนเล็ก ๆคำปฏิเสธของไป๋จื้อเซียนที่กำลังจะพูดออกมา ได้กลืนกลับลงไปอีกครั้งร่างของเขาหายไปจากด้านบนคานห้อง ไปปรากฏตัวอยู่ที่ท้องฟ้าของด่านอวิ๋นหลิ่งทหารยามเมื่อครู่ตะโกนว่ามีผี ไป๋จื้อเซียนก็ปรากฏตัวที่ท้องฟ้าด้วยชุดสีแดงทันที เกือบจะทำให้ทหารยามที่อยู่ประตูด่านตกใจจนขวัญกระเจิงถึงแม้เขาจะหน้าตาดีแค่ไหน แต่การปรากฏตัวขึ้นในยามราตรีเช่นนี้ นั่นก็ทำให้คนตกใจได้เช่นกันอย่างไรเสียก็คนไม่มีคนปกติคนใดสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้เช่นนี้ นี่จึงเห็นได้ชัดว่าก็คือผี!ก่อนหน้านี้ไป๋จื้อเซียนฆ่าคนเหมือนผักปลา คิดมาตลอดว่ามีเพียงดวงวิญญาณที่ไร้ความสามารถพวกนั้นเท่านั้นถึงได้แกล้งหลอกผีให้ผู้คนตกใจบัดนี้ไม่คิดเลยว่าเขากลับต้องมาทำเรื่องแบบนี้เช่นกันสายของเขาที่จ้องมองพลท
ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานต่างรู้ดี พยานอย่างชื่อปาเลี่ย แม้แต่จะยืนยันว่าเยียนอ๋องพ่ายศึกเพราะถูกคนวางแผนชั่วยังยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะลากจวนหนิงกั๋วกงลงมาเอี่ยวด้วยหากสามารถตามหาสำเนาของเอกสารฉบับนั้นตามที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าว อย่างน้อยก็สามารถทำให้จวนเยียนอ๋องเป็นอิสระจากคดีนั้นได้ สามารถทำให้เยียนเซียวหรานสืบทอดตำแหน่งได้ดังนั้นพวกเขาจึงปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าจะไปที่ด่านอวิ๋นหลิ่งอีกสักรอบครั้งนี้พวกเขาฉลาดแล้ว ได้รู้จักคนของเยียนเซียวหรานที่อยู่ในกองทัพไม่น้อย เพื่อป้องกันถูกคนจำได้ เขาจึงสวมหน้ากากหนังมนุษย์ส่วนซือเจ๋อเยว่ นางแต่งตัวเป็นผู้ชายชื่อปาเลี่ยเองก็กลัวคนจำได้เช่นกัน เขาไม่ได้สวมหน้ากาก แต่ว่าหาอะไรมาครอบลูกตาข้างหนึ่งเอาไว้แสร้งทำเป็นคนตาบอดเสียเลยหลังจากที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นการแต่งกายของพวกเขาก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นในมุมมองของเขา หากเกิดการต่อสู้ขึ้นที่ด่านอวิ๋นหลิ่งจริง ๆ เขาฆ่าล้างบางด่านอวิ๋นหลิ่งไปเลยเสียก็สิ้นเรื่องเพียงแต่เขายังจำคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับซือเจ๋อเยว่ได้ ว่าต่อไปจะสังหารผู้คนตามใจชอบไม่ได้อีกแล้วคำมั่นสัญญ
เยียนอ๋องซื่อจื่อแย้มยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกเกรงใจข้า” “ข้ากับองค์หญิง ก่อนหน้านี้แม้แต่พบหน้ากันก็ยังไม่เคย จะให้มีความผูกพันใด ๆ ได้อย่างไร""ระหว่างข้ากับนาง แม้แต่สถานะสามีภรรยาก็ถูกท่านย่าทำลายไปตั้งแต่คืนวันแต่งงานแล้ว""หากคำนวณให้ดี ข้ากับนางไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย นางไม่อาจนับว่าเป็นภรรยาของข้า""ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า หากเจ้าชอบนาง ก็สามารถไล่ตามความรู้สึกของเจ้าได้อย่างเต็มที่"เยียนเซียวหรานได้ยินถ้อยคำนี้แล้วก็ไม่รู้จะตอบกลับเช่นไรเยียนอ๋องซื่อจื่อเอื้อมมือไปตบไหล่เขา แต่มือของเขากลับทะลุผ่านร่างอีกฝ่ายไปเขาชะงักไปชั่วครู่ ซึ่งในเวลานี้เอง ที่เขาได้ตระหนักถึงความจริงว่าตนได้จากโลกนี้ไปอย่างแท้จริงเขาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา "การได้พบกับคนที่ตนชอบไม่ใช่เรื่องง่าย""เมื่อพบเจอแล้ว ก็ควรทะนุถนอมให้ดี""ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า สิ่งที่ข้าปรารถนามากที่สุดก็คือขอให้เจ้ามีชีวิตที่เป็นสุข"เยียนเซียวหรานได้ยินดังนั้นดวงตาก็พลันร้อนผ่าว เอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา "พี่ใหญ่ ข้าจะทำตามที่ท่านบอก"เย
ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความรู้สึกประทับใจ “เยียนอ๋องกับพระชายาช่างให้กำเนิดบุตรชายได้ดีนัก อีกทั้งยังอบรมสั่งสอนอย่างยอดเยี่ยม” เมื่อไป๋จื้อเซียนที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยิน สีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที “พวกเขาจะเก่งกว่าข้าหรือ?” ซือเจ๋อเยว่ยังคงไม่ชินกับการที่ไป๋จื้อเซียนอยู่ข้างกายเขาฝึกฝนมาหลายปี ฝีมือเลิศล้ำอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นหูหรือสายตาล้วนเกินขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดา ที่สำคัญเขาก็มีพฤติกรรมประหลาด ชอบเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับเยียนเซียวหรานทุกเรื่อง นางคิดว่าสมองของเขาคงมีปัญหา เพราะยามนี้เขายังไม่ได้เป็นแม้กระทั่งสหายของนางเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมาขอให้นางเปรียบเทียบกับคนรักของนาง เช่นนี้แล้วจะเปรียบเทียบได้หรือ?แต่เพราะนิสัยของเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้ ยามนี้นางยังไม่อยากมีปัญหากับเขา นางจึงตอบกลับไป “แต่ละคนก็มีข้อดีของตนเอง แต่หากเอ่ยถึงเรื่องต่อสู้ แม้คุณชายไป๋จะไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า แต่ก็ต้องติดหนึ่งในสามอันดับแน่นอน” “เรียกข้าว่าจื้อเซียน” ไป๋จื้อเซียนเหลือบมองนางตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เอื่อยเฉื่อย “คุณชายไป๋อะไร ฟังดูห่างเหินนัก” ชื่อปาเลี่ยที่ยืนฟังด้วยความสนใจอยู