ตงฟางหลีนั่งลง ช่วยนางนวดอย่างประณีตฉินเหยี่ยนเย่ว์เกิดความรู้สึกขัดแย้งกันอยู่เล็กน้อย“ไม่เจ็บแล้ว อดทนสักหน่อย” ตงฟางหลีกล่าวเสียงเบา “เหยี่ยนเย่ว์ ต่อจากนี้เรื่องที่เจ้าไม่ชอบข้าก็จะไม่บังคับ”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ดมกลิ่นหอมที่แผ่ออกมาจากตัวเขา นัยน์ตาทอประกายขึ้นปราดหนึ่งนางผินหน้าไปอีกด้าน เอ่ยเสี
“เผาทิ้งเสีย” ตงฟางหลีได้ยินแล้วมีโทสะยิ่งนัก“ทำไมต้องเผาด้วยเล่า? นี่เป็นหลักฐานชั้นดีเลยนะเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ใช้ปิ่นปักผมอันหนึ่งปักลงบนศีรษะอย่างสบายอารมณ์ “ท่านอย่าเพิ่งสนใจ รออยู่ที่บ้านอย่างสบายใจเถิด หม่อมฉันจะกลับไปพักที่สกุลฉินสักสองสามวัน”มารดาทิ้งทรัพย์สินไว้ให้มากมายถึงเพียงนั้น แต่ท
ฉินเหยี่ยนเย่ว์มองแม่นมที่ยืนขวางประตูด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นก็เพิ่มความเร็ว กระแทกเข้าไปอย่างแรงแม่นมยังมิทันได้เตรียมตัว ถูกกระแทกอย่างแรง พลันถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะล้มหงายหลัง“โอ๊ย” แม่นมอายุมากแล้ว ล้มลงครานี้ ได้ยินเสียงลั่นดังกรอบแกรบได้อย่างชัดเจน ราวกับว่ามีกระดูกหัก เจ็บจนลุกไม่ขึ้นฉ
“แต่เมื่อครู่ท่านแม่รองมิได้พูดเช่นนี้นี่เจ้าคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ใช้น้ำเสียงไร้เดียงสาเอ่ยขึ้น “ท่านแม่รองมิใช่พูดว่าเรื่องของจวนอ๋องเจ็ด สกุลฉินมิกล้าเข้าไปยุ่ง จึงไม่คิดจะให้ข้าอยู่ที่นี่หรอกหรือ?”ฮูหยินรองนัยน์ตาเป็นประกาย “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว แม่รองหมายความว่า สกุลฉินมิอาจเทียบกับราชวงศ์ พวกเราจะล
ฮูหยินหัวฝูมองเห็นพื้นที่ไม่เป็นระเบียบ หัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากันน้อย ๆ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้น “พี่หญิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”“ไม่มีอะไร น้องหญิง เจ้ามาแล้ว รีบเชิญเข้ามาเร็ว” ฮูหยินรองให้เหล่าสาวใช้เก็บกวาดภายในห้องจนสะอาด จากนั้นก็ดึงแขนฮูหยินหัวฝูเข้ามาข้างในขณะเดียวกัน...ฉินเหยี่ยนเย่ว์เดินตาม
เฝ่ยชุ่ยรีบเงียบเสียงลงทันทีฉินเหยี่ยนเย่ว์หรี่ตาลงในสถานที่ที่ได้กลายเป็นลานขยะไปแล้วนั้น นอกจากกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว ยังมีกลิ่นสุรารุนแรงสายหนึ่งกลิ่นของสุราคุณภาพต่ำโชยออกมาจากข้างในห้อง รุนแรงจนเสียดจมูกยังมีเสียงกรนดังขึ้นอย่างแผ่วเบาในห้องมีคน!ยังมีคนจำนวนไม่น้อยเสียด้วย!ฉินเหยี่ยนเย่ว์ก้าว
“มิได้ทำอย่างอื่นหรือ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์โกรธจนหัวเราะออกมา“เดิมทีก็เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าว “คุณหนูใหญ่ ท่านจะโทษพวกบ่าวไม่ได้นะเจ้าคะ ที่นี่สร้างขึ้นมาใหญ่โตเสียเปล่า ทั้งยังไม่มีคนอยู่อาศัย เพียงแค่วางของก็นับว่าเป็นการใช้ประโยชน์ได้สูงสุดแล้ว พวกบ่าวมากินดื่มที่นี่ก็เพื่อเติมกลิ่นอายมนุษย์ใ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์หันกายกลับไปในทันทีก่อนที่จะกระอักเลือดออกมาเสื้อผ้าอาภรณ์สีขาวเรียบ ๆ ของนางถึงกับเปอะเปื้อนไปด้วยสีแดงเล็กน้อย ยามที่สายลมพัดผ่าน อาภรณ์ของนางจึงพลิ้วไหวเสมือนยมทูตที่เดินออกมาจากแดนนรก พร้อมทั้งปลดปล่อยรังสีอันน่าสะพรึงกลัวออกมาแทนบรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดมากมาย พร้อมทั้งทุกสิ
ลู่จิ้นกลับไม่สนใจโดยสิ้นเชิงหัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นก่อนหน้านี้เขาคิดจะปิดประตูข่มขู่ฉินเหยี่ยนเย่ว์ให้รักษาฉิงเอ๋อร์ แม้ว่าจะเป็นการไม่เคารพต่อพวกเขาสองคนแต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้เห็น ขอเพียงยืนกรานไม่ยอมรับ ก็ไม่มีผู้ใดทำอะไรได้ครั้นลู่จิ้นมาถึง สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้วต่อให้เขามีความกล้ายิ่งใ
ซูจื่ออายุยังน้อย ทนต่อการถูกฟาดได้ครั้นปล่อยให้ลู่จิ้นทุบตีระบายอารมณ์ได้ครู่ใหญ่ ก็เจ็บจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน หากยืนนิ่งไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาแม้แต่คำเดียวลู่จิ้นที่ทุบตีจนเหนื่อยแล้วถึงได้ฝืนหยุดตี“ลูกชายของข้า” ฮูหยินซูเห็นท่าทีจมูกช้ำเขียวใบหน้าปูดบวมของซูจื่อ หยาดน้ำตาก็ไหลลงมาเป็นสาย ร้องไห้
นี่สิถึงจะเป็นอาวุธวิเศษในการแสร้งป่วยที่ถูกต้อง“ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าค่ะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์รีบกลืนยาเม็ดลงไปทันที“ไม่ต้องเกรงใจ เรื่องของศิษย์น้องหญิงก็คือเรื่องของข้า” รอจนกระทั่งนางกินยา ลู่จิ้นก็จับชีพจรให้นางอีกครั้งเทียบกับชีพจรยุ่งเหยิงเมื่อครู่แล้ว ชีพจรในยามนี้มั่นคงกว่ามาก ศิษย์น้องหญิงก็รู้
“หลีกไป หลีกไปให้พ้น ใครกล้ามาขัดขวางข้า!”เสียงนั้นดังกึกก้องเป็นอย่างยิ่ง ทรงพลังและดุดันก่อนจะตามมาด้วยเสียงล้มลงกับพื้นของคนหลายคน แล้วประตูใหญ่ก็ถูกคนถีบออกอย่างแรงจากนั้น ชายชราผมขาวเคราขาวคนหนึ่งบุกเข้ามาด้วยความกรุ่นโกรธคนที่เข้ามาคือลู่จิ้นบรรพบุรุษของสกุลลู่ที่ด้านหลังของลูจิ้น ยังมีลู
คนทั่วไปเมื่อรับเงินทองผู้อื่นไปแล้วต้องปัดเป่าความกังวลของผู้นั้นมีเพียงนาง ที่รับเงินไปแล้วยังหน้าไม่อายอย่างเปิดเผยเช่นนี้“นายท่าน ท่านเชื่อข้านะเจ้าคะ นางจงใจปล่อยให้ฉิงเอ๋อร์ตายโดยที่ไม่ช่วย” ฮูหยินซูนึกถึงคำเตือนของคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ใต้หล้านี้มีเพียงนางที่ช่วยชีวิตฉิงเอ
เมื่อซูจื่อเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมา ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถึงกับชะงักงันไปนางคาดไม่ถึงว่าสกุลซูยังมีคนที่สามารถรู้การควรไม่ควรด้วยหาได้ยากจริง ๆยามที่นางหันไปมองซูจื่ออย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น ซูจื่อก็กำลังมองนางอยู่เช่นกันยามที่สายตาประสานกัน นางสามารถมองเห็นประกายที่นางไม่เข้าใจจากในแววตาของซูจื่อได้ประก
ด้านหนึ่งเขาตำหนิฮูหยินซูที่ดึงดันเชิญฉินเหยี่ยนเย่ว์มารักษาให้ฉิงเอ๋อร์ อีกด้านหนึ่งก็ไม่พอใจฉินเหยี่ยนเย่ว์เป็นอย่างมากเรื่องนี้แม้ว่าฝ่าบาทจะมีพระราชโองการทว่า พระชายาอ๋องเจ็ดกำลังเอาพวกเขาสามีภรรยา และทั้งสกุลซูเล่นอยู่ในกำมือ เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย“พระชายาอ๋องเจ็ด กระหม่อมขอถาม
ฮูหยินซูกลัวว่าอาการป่วยของฉินเหยี่ยนเย่ว์จะกระทบถึงร่างกายของซูเตี่ยนฉิง จึงเปลี่ยนผ้าขนหนูไปถึงสามผืน เช็ดหน้าซูเตี่ยนฉิงอยู่สิบกว่ารอบก่อนจะหยุดเช็ดยิ่งเช็ดนาน สุราฤทธิ์แรงที่หลงเหลืออยู่ยิ่งมีมากเท่าใด เวลาที่ซูเตี่ยนฉิงจะเจ็บปวดก็นานมากขึ้นเท่านั้นฉินเหยี่ยนเย่ว์เอนกายพิงตงฟางหลีที่อยู่ข้างกา
ถ้อยคำนี้ เป็นการพิสูจน์ความกังวลของซูจิ้นสีหน้าของซูจิ้นไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่งเดิมทีฉิงเอ๋อร์ก็นอนหายใจรวยริน และหากยังผ่านอาการป่วยนี้ไปอีก ก็จะกลายเป็นอย่างพระชายาอ๋องเจ็ดที่ก้าวเดินหนึ่งก้าวก็ต้องหอบหายใจสามครั้ง เกรงว่าคงจะทนต่อไม่ไหว“เช่นนั้นควรทำอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม“ไม่ต้องกังวลไป” ฉินเหย