อวิ๋นฝูหลิงมองอวิ๋นซานหูถูกลากไปอย่างเย็นชาจะโทษก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ตนใจอ่อนเกินไปนางสามารถเอากิจการของจวนจี้ชุนโหวกลับคืนมา เปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของครอบครัวอวิ๋นกานซง ในนั้นก็มีผลงานของอวิ๋นซานหูอยู่หลายส่วนเช่นกันแม้นี่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยน แต่อวิ๋นฝูหลิงก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง ฆ่าคนปิดปากโดยตรงดังนั้นเดิมทีนางได้เตรียมเส้นทางที่เป็นไปตามยถากรรมไว้ให้อวิ๋นซานหูถ้าหากนางมีความสามารถที่จะอยู่รอด ไม่ว่าเลือกเส้นทางใดก็เป็นทางที่นางเลือกเอง จะเป็นหรือร้ายล้วนเป็นชะตากรรมของนางแต่ตอนนี้นางกล้าเล่นกับไฟ อวิ๋นฝูหลิงย่อมเก็บนางไว้ไม่ได้แล้ว!หลังจากจัดการอวิ๋นซานหูเสร็จ อวิ๋นฝูหลิงยังไม่หายโมโหหางตานางเหลือบมองเซียวจิ่งอี้ที่อยู่ข้างๆ แม้รู้ว่าเรื่องในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา อีกทั้งเขายังหลบเลี่ยงการเข้าใกล้ของอวิ๋นซานหูทันเวลา ทำให้แผนของนางไม่สำเร็จ จัดการได้ดีมากแต่นางก็ยังโมโหเซียวจิ่งอี้อย่างอธิบายไม่ถูก“ล่อผึ้งเรียกผีเสื้อ!”อวิ๋นฝูหลิงจ้องเขม็งใส่เซียวจิ่งอี้แวบหนึ่ง พูดทิ้งท้ายห้าคำนี้จบ ก็หมุนกายเดินจากไปแล้วผ่านไปครู่หนึ่งเซียวจิ่ง
จิงมั่วทำปากจู๋ “พวกท่านสองคนเป็นพ่อแม่ของข้า พวกท่านทะเลาะกัน ข้าจะไม่สนใจได้อย่างไร?”ท่านพ่อไม่ได้เรื่อง เขาต้องลงมือเองแล้วถ้าหากไม่มีเขา ครอบครัวนี้จะทำอย่างไร!ท่าทางนั่นของท่านพ่อ แค่ดูก็ดูว่าง้อผู้หญิงไม่เป็นเขาที่เป็นลูกชายคนนี้ต้องช่วยแล้ว“ท่านแม่ ถ้าหากท่านพ่อทำผิดจริงๆ ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน และช่วยท่านระบายความคับข้องใจแน่นอน”“แต่โบราณว่าไว้ รู้ผิดรู้แก้ไขคือยอดคน หากท่านพ่อยอมรับผิด ท่านแม่ก็ให้อภัยเขาสักครั้งดีหรือไม่ขอรับ?”อวิ๋นฝูหลิงมองลูกชายที่ทำตาคาดหวังและไม่สบายใจ จึงจะตระหนักว่าความรู้สึกแย่ๆ ของตัวเอง ส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัวแล้วสำหรับจิงมั่ว ท่านพ่อท่านแม่ล้วนอยู่ข้างกาย มีครอบครัวที่สมบูรณ์ คือความปรารถนาที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจเขาไม่ต้องการให้ทุกสิ่งที่เขามีในวันนี้ถูกทำลายกลายเป็นเพียงความฝันอวิ๋นฝูหลิงจึงจะรู้ตัว ตนไม่ควรทำเช่นนี้นางลูบศีรษะของจิงมั่ว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ไม่ได้ทะเลาะกับพ่อเจ้า แม่เจอปัญหาการค้าขายนิดหน่อย ดังนั้นจึงอารมณ์ไม่ดี” “แม่ผิดไปแล้ว แม่ไม่ควรให้ความรู้สึกแย่ๆ เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพวกเจ้า”กล่าวจบ อวิ๋นฝูหลิงคีบ
อวิ๋นฝูหลิงตกใจกับการกระทำของเซียวจิ่งอี้ กล่าวโดยไม่รู้ตัว “ท่านจะทำอะไร? รีบวางข้าลงเดี๋ยวนี้นะ”เซียวจิ่งอี้หัวเราะเบาๆ “เจ้ายั่วข้าเอง เจ้าว่าข้าจะทำอะไร?”“คืนนี้ทิวทัศน์งดงาม พลาดไม่ได้”“ก่อนหน้านี้บอกว่าจะคลอดน้องสาวให้จิงมั่วไม่ใช่หรือ ข้าว่าเราควรพยายามให้มากๆ จึงจะถูก!”กล่างพลางอุ้มอวิ๋นฝูหลิงเข้าไปในห้องนอนเรือนหลักแล้วเช้าวันต่อมาตอนที่อวิ๋นฝูหลิงตื่น เซียวจิ่งอี้ไม่อยู่ข้างกายนางแล้วอวิ๋นฝูหลิงนวดเอวที่เมื่อยล้า แอบกัดฟันสาวใช้หงจูที่เฝ้าอยู่นอกม่านได้ยินเสียง ก็รีบถามผ่านม่านทันที “พระชายา ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?”อวิ๋นฝูหลิงขานรับทีหนึ่งหงจูรีบดึงม่านออก ช่วยอวิ๋นฝูหลิงเปลี่ยนชุดหงอวี้ที่อยู่ด้านข้างเดินออกจากห้องชั้นใน สั่งให้คนยกของที่ใช้ล้างหน้าล้างตาเข้ามาหงอวี้กับหงจูเป็นสาวใช้ที่ส่งมารับใช้อวิ๋นฝูหลิง หลังจากที่นางเข้าจวนอ๋องทั้งสองคนหนึ่งหนักแน่น คนหนึ่งมีไหวพริบ รับผิดชอบชีวิตประจำวันของอวิ๋นฝูหลิงอวิ๋นฝูหลิงถาม “ท่านอ๋องเล่า?”หงจูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็นวันประชุมใหญ่ ท่านอ๋องไปประชุมตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ ก่อนไปยังได้กำชับให้พวกบ่า
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงแต่งตัวเสร็จ นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่นัดจะไปรักษา หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ก็แบกกล่องยาออกจากจวนแล้วแต่ก่อนออกจากจวน อวิ๋นฝูหลิงแวะไปหาจิงมั่วก่อนทันทีที่เข้าเรือน ก็ได้ยินเสียงอ่านหนังสือแล้วอวิ๋นฝูหลิงส่งสัญญาณมือให้คนรับใช้ สั่งทุกคนห้ามส่งเสียงรอหลังจากเข้าใกล้แล้ว จึงได้ยินเสียงสอนหนังสือของอาจารย์อาจารย์เสวียนที่เซียวจิ่งอี้เชิญมาท่านนี้เป็นบัณฑิตชั้นสูงสองสาขา มีความรู้ความสามารถ แต่น่าเสียดายเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่เหมาะกับแวดวงขุนนางต่อมาถูกเพื่อนร่วมงานจับผิด จึงลาออกจากการเป็นขุนนางด้วยความโกรธเซียวจิ่งอี้เสียดายความสามารถ จึงเชิญเขาเข้าจวนมาเป็นอาจารย์อาจารย์เสวียนไม่สนใจเส้นทางขุนนาง ดังนั้นจึงมุ่งความสนใจไปที่การเป็นอาจารย์ อบรมสั่งสอนลูกศิษย์อวิ๋นฝูหลิงฟังอยู่ครู่หนึ่ง คิดในใจว่าอาจารย์เสวียนท่านนี้พอจะมีของจริงๆคัมภีร์ ประวัติศาสตร์ กวี ศาสนา สอนโดยไม่ต้องนึก สร้างสรรค์น่าสนใจขณะเดียวกับที่สอนจิงมั่วรู้จักตัวหนังสือ เขายังสอดแทรกปรัชญาชีวิต หรือบุคคลในประวัติศาสตร์ เล่าให้จิงมั่วฟังเหมือนเป็นนิทานส่วนจิงมั่วก็ฟังอย่างสนอกสนใจ เห
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงถามไถ่อย่างเรียบง่าย ก็ตรวจชีพจรให้วั่นเฉิง จึงจะเริ่มการเริ่มฝังเข็มของวันนี้สวินเส้าคังคอยเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างๆอวิ๋นฝูหลิงเพิ่งลงเข็มแรก สวินเส้าคังก็พบว่าวิชาเข็มของอวิ๋นฝูหลิงเปลี่ยนไป วิชาเข็มที่ใช้ในวันนี้ไม่เหมือนที่ใช้เมื่อหลายวันก่อนรอหลังจากฝังเข็มเสร็จ บนหน้าผากอวิ๋นฝูหลิงเต็มไปด้วยเหงื่อ แทบจะหมดแรงแล้วเดิมทีการฝังเข็มต้องใช้สมาธิอย่างมาก เวลาลงเข็มต้องจดจ่อเป็นพิเศษอีกทั้งวันนี้นางยังเปลี่ยนวิชาเข็มชุดใหม่ ยิ่งเหนื่อยกว่าเดิมแล้วสวินเส้าคังประคองอวิ๋นฝูหลิงไปนั่งเก้าอี้ที่ข้างๆ หลังจากนั้นหมุนกายไปรินน้ำชาอวิ๋นฝูหลิงเพิ่งล่วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ตรงหน้าก็มีน้ำชาเพิ่มมาหนึ่งถ้วย“ขอบคุณศิษย์พี่สวิน!”อวิ๋นฝูหลิงรับน้ำชา เผยอยิ้มกล่าวขอบคุณรอหลังจากดื่มน้ำชาไปแล้วสองถ้วย สวินเส้าคังจึงจะเอ่ยปากขอคำชี้แนะ “ศิษย์น้องอวิ๋น วันนี้เจ้าเปลี่ยนวิชาเข็มชุดใหม่ วิชาเข็มชุดนี้ประณีตนัก”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า ถกเถียงวิชาเข็มกับสวินเส้าคังหลายประโยคฮูหยินวั่นเฝ้าลูกชายอยู่ที่ด้านข้างเงียบๆ ไม่ได้รบกวนพวกเขาสองคนอวิ๋นฝูหลิงรู้สึกว่าได
สวินเส้าคังไม่อยากให้ตำแหน่งผู้นำตระกูลตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น อีกทั้งถ้าหากบ้านสายหลักเสียตำแหน่งผู้นำตระกูล วันข้างหน้าคิดจะเอากลับคืนมาก็ไม่ง่ายเช่นนั้นแล้วเกรงว่าตั้งแต่นี้ไปบ้านสายหลักยังจะถูกกดขี่หลังจากสวินเส้าอันพิจารณา แต่งตั้งสวินเส้าคังเป็นผู้นำตระกูลโดยตรงนับตั้งแต่อดีตลูกชายสืบทอดกิจการบิดา พี่ชายตายน้องชายรับช่วงต่อ สวินเส้าอันไม่มีทายาท ดังนั้นส่งต่อกิจการครอบครัวให้น้องชายที่เกิดจากบิดามารดาเดียวกัน ไม่มีใครพูดอะไรได้แต่ช่วยไม่ได้เจตจำนงของสวินเส้าคังคือฝีมือการแพทย์ โดยเฉพาะหลายปีนี้เร่ร่อนไปทั่ว เพื่อหาเบาะแสของอวิ๋นฝูหลิงช่วงก่อนเขาได้รับจดหมายจากทางบ้าน สภาพร่างกายของพี่ใหญ่แย่ลงเรื่อยๆ เร่งเร้าให้เขากลับเจียงเป่ยเพื่อรับช่วงต่อกิจการครอบครัวสวินเส้าคังลังเลมาโดยตลอดเขารู้ว่าตัวเองควรกลับไปรับช่วงต่อกิจการครอบครัว นี่คือความรับผิดชอบที่เขาควรแบกรับในฐานะคนสกุลสวินอีกทั้งอวิ๋นฝูหลิงก็หาเจอแล้ว เขาก็ควรกลับเจียงเป่ยแล้วแต่เขาก็ทำใจทิ้งอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ และไม่อยากละทิ้งเจตจำนงของตัวเองอวิ๋นฝูหลิงเห็นสีหน้าสวินเส้าคังดูไม่ได้นัก อดไม่ได้ที่จะกล่าว “เก
เมื่อสวินเส้าคังได้ยินคำพูดนี้ของอวิ๋นฝูหลิง ก็อารมณ์ดีทันทีความกังวลทั้งหมดหายไปในพริบตาแต่ว่าหลังจากได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายที่มีเจตนาหยอกล้อแฝงอยู่ เขาก็โต้กลับทันที “ไม่มีทาง เรื่องแค่นี้ข้ายังรู้จักแยกแยะอยู่” อวิ๋นฝูหลิงยิ้มจนคิ้วโก่ง จู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยปากกล่าว “ใช่แล้ว เจียงเป่ยก็มีสาขาของสำนักช่วยชีพ”“เช่นนี้ก็แล้วกัน ข้ายกสาขาของสำนักช่วยชีพทั้งหมดที่อยู่ในเจียงเป่ยให้ท่านดูแล”“รอหลังจากท่านกลับถึงเจียงเป่ย ถ้าหากวันไหนอยากรักษาคน สามารถไปเป็นหมอที่สำนักช่วยชีพโดยตรงเลย”“เป็นอย่างไร?”เมื่อสวินเส้าคังได้ยิน ยกมือชี้อวิ๋นฝูหลิงแล้วชี้อีก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เจ้าอยากดึงข้าเข้าสำนักช่วยชีพทางอ้อม เพื่อเสริมหน้าตาให้เจ้าสินะ”“และยังช่วยเจ้าดูแลการค้าของเจ้าแล้ว”“ยิงธนูครั้งเดียวได้นกสามตัว ไม่มีใครฉลาดกว่าเจ้าแล้วจริงๆ!”อวิ๋นฝูหลิงยิ้มแหะๆ รินน้ำชาให้สวินเส้าคังถ้วยหนึ่ง“ก็ตอนนี้ข้ากำลังขาดหมอ โดยเฉพาะหมอที่มีฝีมือเลิศล้ำอย่างศิษย์พี่สวิน!”“อีกอย่างนะ พวกเราเป็นใคร ท่านปฏิเสธข้าได้ลงคอจริงๆ หรือ?”“อีกทั้งพวกเรายังเป็นการร่วมมือที่ต่างฝ่ายต่างได
อวิ๋นฝูหลิงได้ส่งบัตรเชิญของการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในนามของผู้นำตระกูลสกุลอวิ๋นแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่นางปรากฏตัวในแวดวงการแพทย์อย่างเป็นทางการในฐานะผู้นำตระกูลสกุลอวิ๋นกับหมอถึงเวลานั้น ต้องเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามและหาเรื่องแน่นอนอย่างไรก็ตาม แวดวงการแพทย์นั้นไม่ได้อ่อนโยนและสงบอย่างที่เห็นการต่อสู้ที่อยู่ในมุมมืดไม่เคยหยุดลงเลยแม้ทางสกุลสวินเร่งเร้าให้เขากลับไป แต่หลังจากสวินเส้าคังคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าหลังจากการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์สิ้นสุดลง เขาค่อยกลับเจียงเป่ยเช่นนี้แล้วถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นในการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ เขายังสามารถช่วยอวิ๋นฝูหลิงได้อวิ๋นฝูหลิงกับสวินเส้าคังกินไปพลางคุยไปพลางในห้องส่วนตัวของหอสุรา แต่ไม่รู้เลยว่าในห้องส่วนตัวอีกห้องหนึ่งที่มีเพียงกำแพงกั้น อวิ๋นกานซงล้วงห่อผ้าใบหนึ่งออกมาเขาเปิดห่อผ้าทีละชั้นอย่างระมัดระวัง ด้านในสุดเผยให้เห็นหนังสือเล็กๆ เล่มหนี่งเมื่อชายวัยกลางคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขาเห็นหนังสือเล่มนั้น ในแววตาเผยให้เห็นความเร่าร้อนทันทีเขาเพิ่งจะยื่นมือออกไป ใครจะรู้ว่ากลับถูกอวิ๋นกานซงห้ามถ้าหากอวิ๋นฝูหลิงอยู่ที่นี
“จากการทะเลาะเบาะแว้งของพวกเขา พวกเราจึงรู้ว่าสกุลเวินเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย ซึ่งขี้ผึ้งทองก็ถูกลักลอบนำเข้ามาเช่นกัน” “แต่เรื่องการลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมายทำโดยบ้านรองสกุลเวินเป็นหลัก บ้านสามอิจฉาผลประโยชน์ส่วนนี้ จึงอยากเข้าร่วมด้วย และแบ่งผลประโยชน์มาส่วนหนึ่ง”“ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ทางการท้องถิ่นของจินโจวก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน”“หลังจากได้รับเบาะแส ท่านอ๋องก็หันไปเริ่มตรวจสอบสกุลเวิน”ราชวงศ์ต้าฉีเริ่มเปิดการค้าทางทะเล ดังนั้นพ่อค้าบริเวณชายฝั่งจึงต่างได้รับผลประโยชน์ และได้รับกำไรมากมายขอเพียงจ่ายภาษีให้ครบถ้วน และสินค้าที่ซื้อขายไม่ใช่สินค้าที่เกี่ยวกับอาวุธสงครามที่ควบคุมโดยราชสำนักอย่างพวกเสบียง อาวุธหนัก ม้า และเกลือ ทางราชสำนักก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะมีการค้าทางทะเลระหว่างประเทศโพ้นทะเลกับราชวงศ์ต้าฉีแต่ก็มักจะมีเหล่าผู้คน ที่โลภมากไม่รู้จักพอเห็นได้ชัดว่าทำกำไรได้มากมาย แต่ก็มักจะยังอยากได้เงินมากกว่าเดิม แม้แต่ภาษีเล็กน้อยก็ยังไม่อยากจ่ายด้วยเหตุนี้จึงทำการลักลอบค้าขายสินค้าผิดกฎหมายแม้ราชสำนักจะตรวจสอบและปราบปรามอย่างเข้มงวดมา
“ไอ้สุนัขเลว สกุลเวินใจกล้า ถึงขั้นกล้าแตะต้องแม้แต่ท่านอ๋อง คงเหนื่อยจะใช้ชีวิตแล้วจริงๆ!”“คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็นเช่นนี้ ตอนแรกข้าไม่น่าฟังท่านอ๋องเลย วางแผนระยะยาวเพื่อจับปลาตัวใหญ่อันใดกัน?”“น่าจะจัดการสกุลเวินให้สิ้นซากเสียตั้งแต่แรก!”จ้าวเสวียซือพูดด่าทอขึ้นมารู้สึกตื่นตระหนกไปชั่วขณะหนึ่ง จนกระทบบาดแผลอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้เขาเจ็บจนแยกเขี้ยว เป่าปาก ‘ฟู่’ ออกมาอวิ๋นฝูหลิงตบไหล่เขาคราหนึ่ง และกล่าวเสียงต่ำว่า “เอาเถอะ ตอนนี้มันใช่เวลามาด่าหรือ?”“ยามนี้การตามหาท่านอ๋องกับผู้บัญชาการจั่วเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด!”“ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าบอกข้ามาให้ชัดเจนเสีย!”“พวกเจ้าสืบเจอสิ่งใดบ้าง อย่าได้ปิดบังช้าแม้แต่นิดเดียว”“ข้าต้องรู้สถานการณ์ทั้งหมดเสียก่อน จึงจะรู้ว่าควรตามหาที่อยู่ของท่านอ๋องกับผู้บัญชาการจั่วอย่างไร!”หลังจากจ้าวเสวียซือผ่านพ้นการระบายอารมณ์ในช่วงแรกไป ทั้งยังถูกอวิ๋นฝูหลิงตีไปทีหนึ่ง ตอนนี้สติจึงค่อย ๆ กลับมาเขารู้ว่าสิ่งที่อวิ๋นฝูหลิงพูดถูกต้องตอนนี้ถึงเขาจะโกรธอย่างไร้เหตุผลไป ก็ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อยมีเพียงแต่ต้องบอกความจริงทั้งหมดแ
ไม่มีผงยาต้านการอักเสบที่ดีไปกว่าขวดนี้แล้วหลังจากรักษาบาดแผลบนร่างของจ้าวเสวียซือเรียบร้อย อวิ๋นฝูหลิงก็หยิบถุงเข็มขึ้นมา และหยิบเข็มทองเล่มหนึ่งออกมา ก่อนจะฝังเข็มบนตัวของจ้าวเสวียซือหลังจากฝังเข็มเสร็จแล้ว จ้าวเสวียซือก็ค่อย ๆ ได้สติขึ้นมาพวกหลี่หยวนที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะแอบตกตะลึงคิดไม่ถึงว่าสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้จะมีทักษะแพทย์ที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ฝังเข็มเพียงไม่กี่เข็ม ก็ทำให้คนฟื้นได้แล้วแม้อวิ๋นฝูหลิงจะปลอมตัวเป็นบุรุษ แต่หลี่หยวนในฐานะที่เป็นหน่วยกระบี่เงา ก็มีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งเขามองออกนานแล้วว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ เพียงแต่ไม่ได้พูดออกไปต่อหน้าถึงอย่างไรอวิ๋นฝูหลิงก็มีป้ายอาญาสิทธิ์ของหน่วยกระบี่เงา นางจะเป็นชายหรือหญิงย่อมไม่สำคัญจิตใจของหลี่หยวนสั่นไหวเล็กน้อยช้าก่อน ใต้เท้าท่านนี้เป็นสตรี ทั้งยังมีทักษะแพทย์ที่โดดเด่นถึงเพียงนี้ คงมิใช่ว่าเป็นพระชายาอี้อ๋องผู้นั้นกระมัง?นึกถึงการหายตัวไปอย่างกะทันหันของอี้อ๋องอีกครา ข่าวคราวคงไปถึงพระชายาอี้อ๋องที่อยู่เมืองหลวงแล้ว นางย่อมนั่งไม่ติดแต่คิดไม่ถึงว่าคนจะมาที่จินโจวเอง!หลังจา
เมื่อได้ยินอวิ๋นฝูหลิงพูดถึงจ้าวเสวียซือ บนใบหน้าของหลี่หยวนก็มีสีหน้าแปลกประหลาดปรากฏขึ้นเขาลังเลครู่หนึ่ง จึงเพิ่งกล่าวว่า “ท่านใต้เท้า เชิญตามข้าน้อยมา”กล่าวจบ เขาก็หมุนม้านั่งที่วางกระถางดอกไม้ในห้องเล็กน้อยจากนั้นมีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นเสียงหนึ่ง ชั้นวางของเก่าที่เดิมทีติดผนังค่อย ๆ เคลื่อนไปด้านข้าง เผยทางเข้าที่ใหญ่พอจะให้คนผู้หนึ่งเดินเข้าไปได้“ท่านใต้เท้า เชิญด้านนี้ขอรับ!” หลี่หยวนยกมือแสดงท่าทีพลางกล่าวหัวใจของอวิ๋นฝูหลิงสั่นไหวเล็กน้อย เดินตามหลังหลี่หยวนไปทันที เข้าไปในทางเดินที่ผนัง หลังจากเดินไปครู่หนึ่งประมาณสิบกว่าก้าวผ่านทางเดินคับแคบ ตรงหน้าจึงเพิ่งชัดเจนสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือห้องลับห้องหนึ่งทั้งสามด้านของห้องลับมีตะเกียงน้ำมันแขวนอยู่บนผนัง ซึ่งให้แสงสว่างแก่ห้องที่ไม่นับว่าใหญ่นักแห่งนี้ภายใต้แสงสลัว สามารถมองเห็นเตียงไม้เตียงหนึ่งซึ่งวางอยู่กลางห้องลับได้บนเตียงไม้มีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ดวงตาทั้งสองข้างของคนผู้นั้นปิดสนิท สภาพครึ่งเป็นครึ่งตายสายตาของอวิ๋นฝูหลิงมองไปยังใบหน้าของคนผู้นั้น แทบจะจำได้ในทันทีว่าเป็นจ้าวเสวียซือแม้ในใจนางจะคาดเดาไว้ก
ทันทีที่เจ้าของร้านเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ ความง่วงงุนก็สลายหายไปทันทีเขาประสานมือให้อวิ๋นฝูหลิง พลางกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านใต้เท้าโปรดตามข้ามา!”กล่าวจบ เจ้าของร้านก็ลุกขึ้นออกไปจากโต๊ะต้อนรับ เอาป้ายปิดร้านแขวนไว้ที่หน้าประตู หลังจากนั้นก็ปิดประตูร้านจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ เขาจึงเพิ่งนำทางพวกอวิ๋นฝูหลิงไปที่หลังร้านเมื่อเข้ามาที่เรือนหลักหลังร้าน เจ้าของร้านผู้นั้นก็ทำความเคารพอย่างจริงจังและนอบน้อมอีกครั้ง “ข้าน้อยหลี่หยวน ขอทำความเคารพท่านใต้เท้า!”อวิ๋นฝูหลิงเก็บป้ายอาญาสิทธิ์กลับมาในหน่วยกระบี่เงาป้ายอาญาสิทธิ์ที่ครอบครองจะแตกต่างกันออกไป ตามตำแหน่งสูงต่ำป้ายอาญาสิทธิ์ชิ้นนี้ที่ฮ่องเต้จิ่งผิงประทานให้นาง เป็นระดับสูงสุดในหน่วยกระบี่เงา สามารถสั่งการทุกคนในหน่วยกระบี่เงาได้ดังนั้นหน่วยกระบี่เงาซึ่งปลอมตัวเป็นเจ้าของร้านขายของเก่าผู้นี้ เมื่อเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ชิ้นนั้น จึงนอบน้อมต่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นอย่างยิ่งกระบี่เงาในหน่วยกระบี่เงามีจำนวนนับไม่ถ้วน หลายคนเจอหน้าก็ต่างไม่รู้จักกัน ดังนั้นในเวลาส่วนมากแล้ว จึงล้วนใช้ป้ายอาญาสิทธิ์ในการยืนยันตัวตนดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงเพีย
แม้แขกในโรงเตี๊ยมจะไม่น้อย แต่คนที่สามารถเช่าเรือนใหญ่ขนาดนี้ได้กลับมีไม่มากต่อให้จะเป็นแขกที่มีเงินเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเช่าห้องชั้นบนเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น มีน้อยมากที่จะเช่าทั้งเรือนยิ่งไปกว่านั้นคนใจใหญ่แบบอวิ๋นฝูหลิง ซึ่งเป็นแขกที่เช่าคราวเดียวทั้งเดือน ก็มีน้อยยิ่งกว่าเสี่ยวเอ้อเห็นลูกพี่อู๋กับอวิ๋นฝูหลิงคุยกันไม่กี่ประโยค ก็หันกลับมาต้องการจ่ายเงินตามสัญญา หัวใจจึงเพิ่งกลับมาสงบลงโดยพลันพูดจาเกินจริงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หลังจากจ่ายเงิน ลงชื่อในสัญญา ธุรกิจก็เป็นอันเรียบร้อยสมบูรณ์เจรจาธุรกิจใหญ่ขนาดนี้สำเร็จ ผู้ดูแลร้านจะต้องให้ผลประโยชน์กับเขาเป็นแน่เสี่ยวเอ้อนำลูกพี่อู๋เดินไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ขั้นตอนการเข้าพักจัดการเรียบร้อยเมื่อเสี่ยวเอ้อเดินไป อวิ๋นฝูหลิงก็เริ่มลงมือทำธุระนางออกคำสั่งหัวหน้าองครักษ์หูคุนว่า “เหลือสองคนไว้คอยเฝ้าม้ากับสัมภาระที่โรงเตี๊ยม”หูคุนตอบรับ และเลือกองครักษ์มาสองคนทันทีอวิ๋นฝูหลิงเรียกชื่อจางซานมู่อีกครา และกล่าวว่า “เจ้าพาคนสักสองสามคน ไปสอบถามข้อมูลของหอจินอวี้เสียหน่อย ยิ่งละเอียดยิ่งดี มุ่งเน้นโดยเฉพาะช่วงระยะก่อนหลั
อวิ๋นฝูหลิงแค่อยากหาที่พักสักที่ และไม่ได้มาเพื่อชมทิวทัศน์ จึงกล่าวโดยตรง “เรือนหนึ่งห้องโถงไม่ดูแล้ว พาพวกเราไปดูเรือนสองห้องโถงหน่อย”เมื่อเสี่ยวเอ้อได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งดูจริงใจแล้ว“เรือนฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นสองห้องโถงมีคนพักแล้ว ตอนนี้เหลือแค่เรือนฤดูหนาวที่ยังว่างอยู่ เช่นนั้นข้าน้อยพาท่านไปดูเรือนหรือดูหนาวเดี๋ยวนี้ขอรับ”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้าเสี่ยวเอ้อเดินนำทางข้างหน้า ผ่านไปครู่เดียวก็ถึงแล้วอวิ๋นฝูหลิงเงยหน้ามอง ก็มองเห็นคำว่า ‘เหมันต์’ แกะสลักอยู่บนกำแพงหินที่ข้างประตู เสี่ยวเอ้อผลักประตูเข้าไป “เชิญด้านในขอรับ!”อวิ๋นฝูหลิงก้าวข้ามธรณีประตู เมื่อเดินเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมของดอกเหมยเห็นเพียงตรงมุมหนึ่งของลาน ปลูกต้นเหมยขี้ผึ้งไว้หลายต้น เวลานี้กำลังเบ่งบานดูเหมือนคำว่า ‘เหมันต์’ ของเรือนฤดูหนาวแห่งนี้ ก็มาจากดอกเหมยนั่นเองคิดว่าเรือนที่เหลือสามหลัง ก็ปลูกดอกไม้ที่ต่างกันมาเป็นทิวทัศน์ ขณะเดียวกันก็เข้ากับชื่อเรือนอวิ๋นฝูหลิงเดินสำรวจดูหนึ่งรอบ เรือนหลังนี้ได้รับการทำความสะอาดอย่างดี อีกทั้งยังกว้างมากด้วย เพียงพอที่จะรองรับพวกเขาทั้งหมดยิ่งกว่านั้นพวกเขามา
คนในเมืองหลวงที่ไปมาหาสู่กับอวิ๋นฝูหลิงได้ยินว่านางไปถือศีลที่วัดหลิงเจวี๋ย และยังทำเพื่อสักการะบรรพบุรุษ ย่อมไม่มีใครไปรบกวนที่วัดหลิงเจวี๋ยมีเพียงคนสนิทไม่กี่คนที่รู้ว่า วัดหลิงเจวี๋ยเป็นเพียงการบังตาเท่านั้นในความเป็นจริงอวิ๋นฝูหลิงไปเจียงหนานแล้วหลังจากอวิ๋นฝูหลิงที่แต่งตัวเป็นบุรุษออกจากประตูเมืองทางใต้ และรวมตัวกับเหล่าองครักษ์ในเมืองที่ใกล้กับเมืองหลวงที่สุด ก็ทิ้งรถม้า แล้วเดินทางต่อด้วยม้า พวกเขาเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน ใช้เวลาแค่สามวันก็ไปถึงเมืองอวี่แล้ว ผ่านเมืองอวี่ นั่งเรือข้ามแม่น้ำ ก็ถึงจินโจวแล้วตามข้อมูลของหน่วยกระบี่เงา เซียวจิ่งอี้หายตัวไปในจินโจวตอนที่ทางเมืองหลวงได้รับข่าว เซียวจิ่งอี้หายตัวไปสามวันแล้วและตอนนี้ก็ผ่านไปอีกสามวันแล้วอวิ๋นฝูหลิงยืนบนถนนจินโจว ถนนสายนี้พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ร้านค้าเรียงรายอยู่สองข้างทาง ทำให้เกิดบรรยากาศที่รุ่งเรืองบนแม่น้ำชวีหลานที่ล้อมรอบเมืองจินโจวครึ่งหนึ่ง มีเรือที่หรูหราจอดอยู่หลายลำ และมีเสียงดนตรีกับเสียงหัวเราะลอยมาจากแม่น้ำเป็นระยะเสียงที่รื่นรมย์เช่นนี้ ทำให้ผู้คนเพลินจนลืมกลับบ้านจริงๆทว่าอวิ๋นฝ
เซียวจิงมั่วยื่นนิ้วก้อยออกไป“ได้ พวกเราเกี่ยวก้อยกัน” อวิ๋นฝูหลิงก็ยื่นนิ้วก้อยออกไปเช่นกันทั้งสองเกี่ยวนิ้วก้อยสัญญากันคืนนี้อวิ๋นฝูหลิงนอนกับเซียวจิงมั่วเช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นฝูหลิงนั่งรถม้าที่มีสัญลักษณ์ของจวนอี้อ๋อง พาเซียวจิงมั่วไปที่จวนองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อแล้วองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อได้รับจดหมายของอวิ๋นฝูหลิงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วดังนั้นวันนี้จึงมารอตั้งแต่เช้าแล้วอวิ๋นฝูหลิงจูงมือเซียวจิงมั่วเข้ามา หลังจากคำนับก็กล่าว “ท่านป้า ต้องรบกวนท่านดูแลจิงมั่วสักระยะแล้ว”องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อชอบเซียวจิงมั่วมาก ย่อมยินดีที่จะดูแลเขาสักระยะอยู่แล้วเซียวจิงมั่วเงยหน้า ยิ้มหวานให้องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อ “ท่านย่า จิงมั่วเป็นเด็กดี เลี้ยงง่ายมาก จิงมั่วยังสามารถเล่นเป็นเพื่อนท่านย่า และเล่าเรื่องตลกให้ท่านย่าฟังขอรับ”เมื่อองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อได้ยินเช่นนี้ ก็ดึงเซียวจิงมั่วเข้ามาในอ้อมแขน หยิกแก้มเขาทีหนึ่งแล้วกล่าว “แก้วตาดวงใจของย่า เจ้าอยู่ที่นี่ก็คิดเสียว่าอยู่บ้านของตัวเอง ย่าชอบจิงมั่วของเรามาก!” องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อบีบนวดเซียวจิงมั่วครู่หนึ่ง จึงจะเงยหน้ากล่าวกับอวิ๋นฝูหลิง“ฝากจิง