งานเลี้ยงฉลองชัยจัดขึ้น ณ ตำหนักไท่เหอ ภายในงานเต็มไปด้วยสุรา อาหารเลิศรส นักการสังคีตบรรเลงฉินคลอแผ่วท่วงทำนองลื่นไหลผ่อนคลายดุจสายน้ำกระทบหิน ขุนนางบุ๋นบู๊ขั้นสามขึ้นไปต่างพาครอบครัวทยอยมาเข้าร่วมงานเลี้ยง ภายในห้องโถงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย บรรดาบุรุษต่างรวมตัวกันอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง จับกลุ่มพูดคุยกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นช่วงนี้ บ้างก็ปรึกษาหารือเกี่ยวกับข้อราชการที่ได้รับมอบหมาย ทางฟากฝั่งของสตรีเองก็ไม่น้อยหน้า บรรดาฮูหยินและฮูหยินตราตั้งทั้งหลายต่างจับกลุ่มพูดคุยสร้างเส้นสายเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของสามี บ้างก็พูดจาส่อเสียดเย้ยหยันตีวัวกระทบคราดกันไปมา บ้างก็สอดส่ายสายตาเสาะหาหนุ่มสาวอนาคตไกล ชาติตระกูลสูงส่งเพื่อเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีกู้ฟางเหนียงรวมอยู่ด้วย
วันนี้กู้ฟางเหนียงจับบุตรสาวแต่งตัวแบบจัดหนักจัดเต็ม เสื้อผ้าสีชมพูสดใส ปิ่นมุก กำไลหยกประโคมใส่ให้บุตรสาวราวกับจะเปิดร้านขายเครื่องประดับเสียเอง แต่ผู้ที่ให้ความร่วมมือดูเหมือนจะมีแค่บุตรคนที่สามอย่างจ้าวลี่เจียเพียงเท่านั้น เพราะแม้ท่านแม่จะประโคมเครื่องประดับให้นางใส่จนเต็มตัว แต่นางก็ยังดูงดงามเฉิดฉันสมกับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ ผิดกับจ้าวลี่จ้งที่พอเห็นสภาพตนเองในคันฉ่องก็เกิดอาการคันคะเยอขึ้นมาทั้งตัว อาศัยจังหวะที่ทุกคนหันไปใส่ใจน้องสาว ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีออกทางหน้าต่างไปฉวยเอาอาภรณ์สีเรียบของตนเองมาแอบซ่อนไว้ พอขึ้นรถม้าได้ก็จัดการถอดรูปเปลี่ยนร่างตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ส่วนชุดที่ท่านแม่จัดหาให้ก็โยนทิ้งไว้ตรอกใดก็สุดรู้ พอกู้ฟางเหนียงเห็นบุตรสาวลงมาจากรถม้าในชุดสตรีสีเรียบก็ถึงกับพูดไม่ออก จะไล่ให้กลับไปเปลี่ยนชุดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว จึงจำต้องปล่อยเลยตามเลย พาบุตรสาวคนรองที่สภาพเหมือนบัณฑิตหนุ่มยากจนเข้ามาในงานด้วยความคับแค้นใจที่เหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า[1]
“ยินดีกับจ้าวฮูหยินด้วยที่มีสามีองอาจห้าวหาญอย่างเจิ้งกั๋วกง สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ให้กับแผ่นดินต้าเฉินของเรา” เกาโยวหยวนฮูหยินของหลี่เหยียนเจี๋ย พระมารดาของหลี่ลู่เหลียนฮองเฮาองค์ปัจจุบันแห่งแคว้นต้าเฉิน ทักทายกู้ฟางเหนียงอย่างเป็นกันเอง ท่าทางสูงส่งถือยศถือศักดิ์ไม่มีให้เห็นแม้แต่เพียงน้อย
“มิกล้าๆ หลี่ฮูหยินยกย่องเกินไปแล้ว เสนาบดีหลี่เองก็เก่งกล้าสามารถไม่แพ้กัน ถวายงานข้างพระวรกายฝ่าบาทมาช้านาน สร้างคุณงามความดีใหญ่หลวง จะพูดว่ายินดีกับข้าได้อย่างไร” กู้ฟางเหนียงยกย่องอีกฝ่ายกลับตามมารยาท ไม่อยากต่อบทสนทนากับเกาโยวหยวนมากนักเพราะไม่ค่อยสนิทกับอีกฝ่าย เกาโยวหยวนเองก็เหมือนจะรู้จึงเสพูดเรื่องอื่นเพื่อหาเรื่องคุย
“นี่คือบุตรสาวของท่านหรือ รูปโฉมงดงาม เอ่อ...” เกาโยวหยวนเอ่ยชมจ้าวลี่เจีย ก่อนหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าของจ้าวลี่จ้ง หลังจากครุ่นคิดหาคำชมที่เหมาะสมกับหญิงสาวอยู่เป็นครู่จึงค่อยเอ่ยออกมา “...สุขุมยิ่ง ดูมีราศีสมกับเป็นบุตรสาวของเจิ้งกั๋วกง”
“ขอบคุณหลี่ฮูหยินที่เอ่ยชมเจ้าค่ะ” จ้าวลี่เจียยอบกายคารวะเกาโยวหยวนตามมารยาท ทำให้หลี่ฮูหยินเผยแววตาชื่นชมหญิงสาว ผิดกับจ้าวลี่จ้งที่ทำเพียงค้อมกายคารวะง่ายๆ เยี่ยงชายชาตรี ทำเอาดวงตาของเกาโยวหยวนฉายประกายเย็นเยียบวูบหนึ่งรวดเร็วจนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“เด็กชนบทไม่รู้กาลควรไม่ควรขอหลี่ฮูหยินอย่าได้ถือสา ยังไม่รีบขออภัยหลี่ฮูหยินอีก” กู้ฟางเหนียงเห็นกิริยาไม่สมกับเป็นสตรีในห้องหอของบุตรสาวเลยแอบบิดเอวสั่งสอน หน้าร้อนนิดๆ ด้วยความอับอายกับการกระทำของจ้าวลี่จ้ง นางพยายามแก้ต่างทั้งตำหนิบุตรสาวคนรองที่เสียมารยาทกับหลี่ฮูหยินต่อหน้าธารกำนัลด้วยความร้อนใจ เกาโยวหยวนกลับโบกมือคล้ายไม่ใส่ใจ
“บุตรสาวของเจ้าเป็นคนห้าวหาญเหมือนกับบิดาของนาง เจ้าก็อย่าได้ตำหนินางนักเลย”
“ขอบคุณหลี่ฮูหยินที่ไม่ถือสาหาความผู้น้อย” กู้ฟางเหนียงยอบกายคารวะ รู้สึกดีกับหลี่ฮูหยินผู้นี้ขึ้นมาอักโข รอยยิ้มบนหน้ากู้ฟางเหนียงเจือความจริงใจมากขึ้น เป็นฝ่ายชักชวนเกาโยวหยวนสนทนาเรื่องอื่นอย่างสนิทสนมเสียเอง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวตกอยู่ในสายตาเฉียบคมของเฉินซือหยางทั้งหมด
“หลี่ฮูหยินช่างปั้นหน้าเก่งเสียจริง หึ” เฉินซือหยางปรบมือให้เกาโยวหยวนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ใบหน้าเล็กๆ หลังม่านบังตามองไปทางหลี่เหยียนเจี๋ย เสนาบดีกรมขุนนางที่ทำตัวสง่าผ่าเผยพูดคุยสร้างเส้นสายในราชสำนักเช่นเดียวกับภรรยาก็รู้สึกสะอิดสะเอียนสองผัวเมียคู่นี้ยิ่งนัก “หลี่เจียนเฉิน[2] ก็ใช่จะน้อยหน้าฮูหยินของเขาเสียเมื่อไหร่ ช่างเหมาะสมกันราวผีเน่ากับโลงผุ”
“องค์รัชทายาทตรัสได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จางเสี่ยวเหล่ยค้อมกายรับคำ เห็นด้วยกับคำพูดของเฉินซือหยางยิ่ง ขุนนางในราชสำนักต่างพากันประจบเอาใจหลี่เหยียนเจี๋ยจนแทบจะลอยขึ้นฟ้า นี่ยังไม่นับการคบค้าสมาคมในที่ลับอีก ไหนจะเส้นสายของอู๋กั๋วกงหลี่เจียงที่เป็นถึงอัครมหาเสนาบดีสองแผ่นดิน ยังมีหลี่ไทเฮา และหลี่ฮองเฮากุมอำนาจในวังหลังอีก นับวันตระกูลหลี่ยิ่งเรืองอำนาจมากขึ้นทุกทีๆ แล้ว
“เรื่องลอบวางยาปลุกกำหนัดเสด็จพ่อที่ให้ไปจัดการก่อนหน้านี้ได้ความว่าอย่างไร”
“หวังกงกงเตรียมการป้องกันเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ รับรองว่าไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน”
“กำชับเหล่าองครักษ์เงาด้วยว่าให้เฝ้าระวังความปลอดภัยให้จงหนัก หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเสด็จพ่อของข้าละก็ อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เตรียมตัวเถอะ เสด็จพ่อน่าจะใกล้เสด็จแล้ว”
เฉินซือหยางลุกขึ้นให้จางกงกงจัดเสื้อผ้าให้ แล้วเดินไปรอที่ตำหนักข้าง เพียงชั่วครู่เฉินเทียนอี้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับนางสนมกลุ่มใหญ่ หนึ่งในนั้นมีซูโม่หลันรวมอยู่ด้วย เฉินซือหยางส่งสายตาให้ซูโม่หลัน นางเองก็คล้ายจะเข้าใจความนัยที่เขาส่งให้ จึงหลุบตาลงเงียบๆ รีบเร่งฝีเท้าประชิดเฉินเทียนอี้มากยิ่งขึ้น คืนนี้เขาคงวางใจได้เปลาะหนึ่งว่าเสด็จพ่อคงจะไม่ร่ำสุรามากเกินควรจนทำร้ายพระวรกายเข้า
“เสด็จพ่อ” เฉินซือหยางค้อมกายคารวะ เฉินเทียนอี้พยักหน้ารับ สองพ่อลูกพบหน้ากันยังไม่ทันจะได้โอภาปราศรัย คนที่พวกเขาเกลียดเข้าไส้ก็ย่างกรายเฉิดฉายตามการประคองของหลี่ลู่เหลียนเข้ามาในตำหนักข้าง
“ถวายบังคมเสด็จแม่ / เสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ย่าเสียงไทเฮาปรายตามองสีหน้าไร้อารมณ์ของสองพ่อลูกด้วยสีหน้าหมิ่นแคลน ท่าทางเย่อหยิ่งหยามหยันผู้คนนั้นช่างน่าชิงชังรังเกียจยิ่งนักในสายตาของเฉินซือหยาง เรือนร่างที่เริ่มร่วงโรยตามวัยเดินผ่านหน้าของพวกเขาไปอย่างไม่แยแส
“เสด็จแม่ทรงพระเกษมสำราญดีนะพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเทียนอี้ทักทายตามมารยาท ใบหน้าหล่อเหลาหาผู้ใดเทียบเทียมเย็นชาเฉยเมย ยิ่งขัดลูกนัยน์ตาของหลี่ย่าเสียงไทเฮา
“ข้าคงจะอยู่ดีมีสุขมากกว่านี้ หากผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าข้าไม่ใช่เจ้า”
“คงต้องทำให้เสด็จแม่ผิดหวังเสียแล้ว เพราะผู้ที่ท่านอยากจะให้ ‘ยืนอยู่ในตำแหน่งนี้’ สิ้นใจไปนานแล้ว” เฉินเทียนอี้กล่าวเสียงเรียบ แต่ความนัยที่เอ่ยออกมากลับจี้ใจดำหลี่ย่าเสียงเข้าอย่างจัง
มันกล้าดีอย่างไรถึงได้มาชุบมือเปิบบัลลังก์ทองที่ควรจะเป็นของบุตรชายนาง ของตระกูลนาง! ปลอกเล็บทองคำจิกเข้าไปในเนื้อตรงท่อนแขนของหลี่ลู่เหลียนจนนางอดขมวดคิ้วด้วยความเจ็บไม่ได้ หลี่ฮองเฮาไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาเพราะรู้ว่าเสด็จอาหญิงของตนเองกำลังอารมณ์ขุ่นมัวอย่างหนัก ทำเพียงลูบแขนปลอบประโลมเบาๆ หลี่ย่าเสียงถึงได้สติพยายามระงับอารมณ์ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเคียดแค้นนั่นเริ่มสงบลง นางจะถือสาคนใกล้ตายไปทำไม โมโหไปก็เท่านั้น
“เจ้าเองก็อย่ามัวแต่ตอกย้ำข้า เตือนตนเองไว้บ้างก็ดีว่าใกล้หมดลมหายใจแล้วเช่นกัน” หลี่ย่าเสียงเย้ยเสียงเบา แต่ถึงจะเบาเพียงไรเฉินซือหยางก็ยังได้ยินเต็มสองหูอยู่ดี
“เสด็จย่าอย่ามัวห่วงเสด็จพ่ออยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อจะมีอายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี แต่เสด็จย่าเนี่ยสิ อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว ต้องดูแลพระวรกายให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ จะได้อยู่ดูหลานขึ้นไป ‘ยืนตรงตำแหน่งนั้น’ เบื้องหน้าเสด็จย่าบ้าง” เฉินซือหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสุดซึ้ง ใบหน้าไร้เดียงสาแต่นัยน์ตากลับคมกริบดุจใบมีด นังเฒ่าสารพัดพิษนี่เขาจะไม่ให้นางได้ตายดีเหมือนกัน สิ่งที่นางทำกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเขา เขาจะเอาคืนจากนางเป็นร้อยเท่าพันทวีแน่นอน
ข้าขอสาบาน!
“นี่เจ้า!” หลี่ย่าเสียงเผลอตวาดเสียงดัง จนหลี่ลู่เหลียนต้องออกปากห้ามปราม
“เสด็จแม่เพคะ” หลี่ฮองเฮากระชับมือหลี่ไทเฮาแน่น พยักพเยิดไปยังเหล่าสนมชายาที่ยืนมองพวกนางด้วยสายตาสอดรู้สอดเห็น
หลี่ย่าเสียงสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามระงับอกระงับใจไม่ให้สั่งสอนไอ้เด็กเมื่อวานซืน ระวังเถอะสักวันนางจะส่งมันลงนรกตามแม่มันไป คนชั้นต่ำอย่างพ่อมันนางยังจัดการได้ แล้วเด็กอมมืออย่างมันมีหรือนางจะจัดการไม่ได้
“ขอบใจหยางเอ๋อร์มากที่เป็นห่วงย่า รับรองว่าย่าจะอยู่อีกนานจนหยางเอ๋อร์คาดไม่ถึงเชียวล่ะ ย่าหวังว่าหยางเอ๋อร์เองจะอยู่ได้นานจนถึงวันนั้นเช่นกัน” หลี่ย่าเสียงลูบศีรษะเล็กๆ อย่างอ่อนโยน ผิดกับสีหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขาลิบลับ
“หลานจะอยู่จนถึงวันนั้นแน่นอน ขอเสด็จย่าโปรดวางใจ” เฉินซือหยางบอกเสียงหนักแน่น เขาไม่ใช่แค่จะอยู่อีกนาน แต่จะอยู่อย่างมีความสุขบนความทุกข์ทรมานของคนตระกูลหลี่ทั้งตระกูลด้วย!
“ได้เวลาแล้ว เสด็จแม่เชิญเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเทียนอี้เข้าไปประคองแขนอีกข้างของหลี่ย่าเสียง ถึงนางจะไม่ใคร่พอใจนักแต่ก็ยอมร่วมแสดงละคร ‘ครอบครัวสุขสันต์’ ต่อใต้หล้าด้วยท่าทางเปี่ยมเมตตาผิดกับการเผชิญหน้ากันก่อนหน้านี้ลิบลับ
[1] เป็นสำนวน หมายถึง ขัดใจ หรือไม่ได้ดั่งใจกับความไม่เอาถ่านของคนที่ตนคาดหวังไว้
[2] เจียนเฉิน (奸臣) หรือกังฉิน คือขุนนางที่ทุจริตในหน้าที่การงาน ในที่นี้เฉินซือหยางใช้เรียก ‘หลี่เหยียนเจี๋ย’ เป็นเชิงเสียดสี
“ฝ่าบาทเสด็จ ไทเฮาเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ” ขันทีประจำตำหนักขานเสียงดัง เหล่าขุนนางและครอบครัวต่างเข้าประจำที่ ถวายบังคมแสดงความจงรักภักดีพร้อมกันทั้งตำหนักไท่เหอ ต้อนรับการมาเยือนของเหล่าเชื้อพระวงศ์อย่างยิ่งใหญ่ “ถวายพระพรฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี ถวายพระพรไทเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรฮองเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรองค์รัชทายาทขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี” “ลุกขึ้นเถอะ” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” “สวรรค์คุ้มครองแผ่นดินต้าเฉิน วันนี้เรายินดียิ่งนักที่เห็นทุกท่าน ณ ที่แห่งนี้ จอกนี้เราขอดื่มเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าทหารกล้าที่เสียสละเพื่อแผ่นดินต้าเฉินของเรา หมดจอก” เฉินเทียนอี้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม สุรากู่จิ่ง[1] กลิ่นหอมเย้ายวน รสชาติหวานปานน้ำผึ้งยังซ่านอยู่ในปาก เป็นสุราที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เหตุการณ์ลอบสังหารในงานเลี้ยงฉลองชัยราชสำนักสูญเสียขุนนางไปครึ่งค่อน โอรสสวรรค์พิโรธหนักเรียกขุนนางใหญ่ทั้ง 3 กรมเข้าเฝ้าเพื่อสืบคดีให้ถึงที่สุด ลากตัวผู้อยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ออกมาสำเร็จโทษ หลังการสอบสวนเสนาบดีกรมพิธีการและพรรคพวกถูกลากไปตัดหัวที่ประตูอู่เหมินเซ่นดวงวิญญาณของผู้สูญเสีย เหอต๋าผู้บัญชาการทหารเก้าประตูถูกโบยแปดสิบไม้ และปลดออกจากตำแหน่งโทษฐานเพิกเฉยต่อหน้าที่ เฉินเทียนอี้ถือโอกาสนี้ปรับขั้วอำนาจในราชสำนักครั้งใหญ่ จ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวาฝ่ายบุ๋น[1] ในปีนี้โชคดีราวกับมีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากฟ้า ล้วนแล้วแต่เข้ารับตำแหน่งสำคัญทั้งสิ้น 'หานจางหมิ่น' จ้วงหยวนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นราชครูในองค์รัชทายาท จินซานปั๋งเหยี่ยนเลื่อนจากขุนนางในกรมอารักษ์เล็กๆ ขึ้นเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการ ส่วนทั่นฮวาผู้ไม่ถูกเอ่ยนามได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ในกรมโยธา แน่นอนว่าไทเฮาย่อมเป็นฝ่ายเสียหายหนัก เพราะขุนนางที่ถูกสังหารล้วนแล้วแต่เป็นคนของหลี่ย่าเสียงไทเฮาทั้งสิ้น ตระกูลหลี่ทั้งบนล่างร้อนใ
วันคืนผ่านพ้น หลังเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ มีคนโศกเศร้าเสียใจ ย่อมมีคนดีอกดีใจ มีคนกลุ้มอกกลุ้มใจ ย่อมมีคนวางเฉย มีคนบินสูงสู่ยอดไม้ ย่อมมีบางคนตกต่ำไม่อาจผงาดขึ้นมาได้อีก พอเรื่องร้ายผ่านพ้นไป เรื่องดีๆ ก็เข้ามาพร้อมๆ กัน วันนี้จวนไท่เว่ยคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากทางจวนจัดงานเลี้ยงฉลองเลื่อนตำแหน่งของเจิ้งกั๋วกงจ้าวมู่ อีกทั้งยังเป็นวันครบรอบขวบปีของคุณชายเจ็ดจ้าวลี่หมิง จวนไท่เว่ยจึงจัดพิธีจวาโจว[1] พร้อมกันเสียเลย เรียกว่าเป็นงานมงคลคู่ที่หาได้ยากยิ่ง ผู้คนในจวนทั้งบนล่างต่างวิ่งวุ่นจัดงานแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น แน่นอนว่าคนที่ว่างแสนว่างจนไม่มีอะไรให้ทำอย่างพวกสามแฝดตระกูลจ้าวก็มีเรื่องให้ทำเช่นกัน หลังจากสามแสบวุ่นวายอยู่ในห้องครัวอยู่พักใหญ่ ทำเอาห้องครัวของจวนไท่เว่ยอลหม่านจนไก่บินสุนัขกระโดดกำแพง[2] กันไปยกหนึ่ง จึงถูกกู้ฟางเหนียงโยนเข้าห้องไล่ให้ไปเลี้ยงน้องมันเสียเลย “ลี่จูๆ ลี่จิน... ลี่หลินเบื่ออ่ะ” จ้าวลี่หลินกระตุกชายแขนเสื้อของฝาแฝด ใบหน้าเริ่มมีเค้าความงามงอง้ำ บุ้ยปาก
ในขณะที่ทางฝั่งเด็กๆ กำลังเล่นจับนกกันอย่างสนุกสนาน ทางด้านเรือนใหญ่เองก็เริ่มเปิดประตูต้อนรับขุนนางผู้มาร่วมแสดงความยินดีกับเจิ้งกั๋วกงที่ได้เลื่อนตำแหน่ง กู้ฟางเหนียงในฐานะฮูหยินตราตั้งจึงต้องออกมาช่วยสามี และแม่สามีต้อนรับแขกเหรื่อ แน่นอนว่าจ้าวลี่จ้ง และจ้าวลี่เจียเองก็ถูกลากให้มาต้อนรับบรรดาคุณหนู บุตรีผู้สูงศักดิ์ที่มาร่วมงานกับครอบครัวเช่นเดียวกัน “ใกล้จะได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว จ้งเอ๋อร์ไปดูสิว่าแม่นมหลิ่วแต่งตัวให้เสี่ยวชีเสร็จหรือยัง” “เจ้าค่ะท่านแม่” จ้าวลี่จ้งรับคำ ผละกายจากไปได้เพียงไม่นาน ก็มีเสียงขานนามดังก้อง “องค์รัชทายาทเสด็จ” เฉินซือหยางมาร่วมงานอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน บรรดาขุนนางทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างแตกตื่นตกใจ รีบค้อมกายทำความเคารพ พลางรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่มาร่วมงานในครั้งนี้ นอกจากจะได้ประจบเอาใจจ้าวมู่แล้วยังได้ประจบเอาใจรัชทายาทอีกทาง ซึ่งเป็นผลดีกับตำแหน่งหน้าที่ของตนเองในอนาคต&nbs
ผู้คนต่างทอดถอนใจ นึกถึงตอนนั้นที่ 'หลานซือเยว่' ไต่เต้าจากนางกำนัลข้างกายองค์ชายเก้าหรือเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ จนได้เป็นถึงกุ้ยเฟย ทั้งที่พระนางมีพระชนมายุมากกว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ถึง 7 ชันษา กลับกุมหทัยองค์จักรพรรดิไว้อย่างเหนียวแน่น หากไม่เพราะคนงามอายุสั้น เสียชีวิตหลังคลอดบุตรแล้วละก็คงไม่มีหลี่ฮองเฮาในวันนี้ ถึงกระนั้นตำแหน่งกุ้ยเฟยก็ถูกปล่อยให้ว่างไว้ ไม่มีพระสนมนางใดปีนป่ายถึงตำแหน่งนี้สักคน แม้แต่ซูโม่หลันพระสนมคนโปรดที่หน้าตาเหมือนกับหลานกุ้ยเฟยราวกับแกะยังได้ดำรงตำแหน่งแค่เต๋อเฟย เห็นได้ชัดถึงความรักใคร่ที่เฉินเทียนอี้ฮ่องเต้มีให้กับหลานซือเยว่ “สวรรค์กลั่นแกล้งโฉมสะคราญโดยแท้” ขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งเปรยขึ้น คนส่วนใหญ่ต่างเออออคล้อยตาม ทอดถอนใจกับชะตาชีวิตอันแสนรัดทนของหญิงงาม ผิดกับเจิ้งกั๋วกงที่มุมปากกระตุกตั้งแต่เฉินซือหยางหยิบปิ่นหงส์ออกมาแล้ว ปิ่นปักผมของหญิงสาวจะเหมาะกับบุตรชายของเขาได้อย่างไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหวังดี? (ประสงค์ร้าย) เขาเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่รังแกเด
หลังองค์รัชทายาทเสด็จกลับ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งบ่าย วันนั้นเกิดเรื่องราวมากมาย แน่นอนว่าเรื่องใหญ่ล้วนไม่พ้นเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจในตัวบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงจนถึงขั้นมอบของแทนใจให้อีกไม่นานคงมีราชโองการพระราชทานสมรสตามมา แน่นอนว่าเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นี้ล้วนถูกบิดเบือนจากการเล่าลือในหมู่ชาวบ้าน เรื่องราวลุกลามถึงขั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงรูปโฉมของคุณชายตระกูลจ้าวว่างดงามดุจเทพเซียน งามสะท้านสะเทือนถึงสามภพ รูปงามเสียจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมภาดา มวลผกาละอายชาย?[1] เรื่องเหล่านี้เราจะไม่กล่าวถึงเป็นการชั่วคราว เพราะมีเรื่องราวเล็กๆ ที่น่าสนใจหลายเรื่องที่ยังไม่ได้กล่าวถึง แน่นอนว่าเรื่องแรกคงหนีไม่พ้นจ้าวลี่จ้งที่ก่อนหน้านี้ออกตามหาน้องชายให้วุ่น ในระหว่างตามหาน้องชายอยู่นั้น บังเอิญพบกับจินซานปั๋งเหยี่ยนคนใหม่ที่นางเคยช่วยไว้เมื่อคราวก่อน ตอนแรกนางจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จิตใจจดจ่ออยู่กับการตามหาน้องชายด้วยความห่วงใย แต่บุรุษรูปงามดุจหยกยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพรรณแข่งกันอวดโฉ
เรื่องสุดท้ายคงหนีไม่พ้นแฝดสามตระกูลจ้าว หลังงานเลี้ยงเลิกราไปแล้วสมาชิกตระกูลจ้าวยังคงรวมตัวกันในห้องโถงของเรือนหลัก โดยมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งเป็นประธานพิจารณาความผิดของสามแฝดรวมถึงบ่าวรับใช้ผู้มีหน้าที่ดูแลจ้าวลี่หมิง ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นจิบ บรรยากาศคล้ายถูกแช่แข็ง ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียง ภายในห้องเงียบฉี่ หากมีเข็มหล่นบนพื้นคงได้ยินกันทั่ว เฉาม่านเหลือบตามองหลานสาวที่นั่งหน้าหงอยอยู่เบื้องหน้าตนแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก ความซุกซนของหลานสาวทั้งสามคนเกือบก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว กึก! มือบางที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาวางถ้วยชากระทบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาสามแฝดสะดุ้งโหยง รู้ว่าคราวนี้ท่านย่าโกรธแล้วจริงๆ “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ทราบเจ้าค่ะ” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน รวมถึงสาวใช้ที่นั่งคุกเ
“เยว่เอ๋อร์” เฉินเทียนอี้มองเรือนร่างงดงามดุจกิ่งหลิวในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองทองลายพญาหงส์ห้าสี ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ ติ่งหูบอบบางนุ่มนิ่มประดับกุณฑลไข่มุกเม็ดงาม ลำคอระหงใส่หลิ่งเยวีย[1] เส้นสวย พาดทับด้วยประคำไข่มุกเฉาจูเส้นยาวเต็มพิธีการ สายตาคมเข้มจับจ้องดวงหน้างดงามหมดจด บริสุทธิ์ อ่อนหวานดั่งดวงจันทราในฝากฟ้ายามรัตติกาลที่เขาคะนึงหาทุกวันคืนด้วยสายตารักใคร่หลงใหล ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนแท่นหยกน้ำแข็งพันปี โดยไม่สะทกสะท้านต่อความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ มือหนาสั่นเทาขณะเอื้อมไปสัมผัสแก้มนวลเย็นเฉียบของหลานซือเยว่ นิ้วเรียวยาวเขี่ยไล้แก้มอิ่มเบาๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับขนตางอนยาว หวังเหลือเกินว่าดวงตาหงส์ที่กำลังหลับพริ้มอยู่จะลืมตาตื่นขึ้นมาสบตากับเขาอีกครา เฉินเทียนอี้รวบมือบางขึ้นมาลูบไล้เล่น ขณะพูดคุยกับหญิงสาวเหมือนเช่นเคย “รู้หรือไม่เยว่เอ๋อร์ คนที่เคยทำร้ายเจ้ากำลังจะได้รับผลกรรมที่พวกมัน
ว่าด้วยเรื่องเคล็ดวิชา ‘ฝ่าเท้าท่องวารี’ ของจ้าวลี่หมิง จ้าวลี่จ้ง : "ศาสตร์แห่งยุทธ์ที่สืบทอดต่อๆ กันมาในตระกูลจ้าวรู้ไหมว่าคือสิ่งใด" จ้าวลี่จู : “ข้ารู้ๆ ความแข็งแกร่งใช่หรือไม่” จ้าวลี่หลิน : “ใครบอกความยืดหยุ่นต่างหากล่ะคือศาสตร์แห่งยุทธ์ที่แท้จริง” จ้าวลี่จิน : นั่งกินไก่ย่างเงียบๆ ไม่ขอออกความเห็น จ้าวลี่หมิงผู้นั่งงงในดงพี่สาว: “\(゚ー゚\)” “( ノ ゚ー゚)ノ” จ้าวลี่จ้ง : “เจ้าตัวไม่ได้ความพวกนี้นิ” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน และจ้าวลี่หมิงที่โดนเคาะศีรษะเรียงตัว : “/(ㄒoㄒ)/~~”
ข่าวเรื่ององค์รัชทายาทสมคบคิดกับเผ่าคนเถื่อน วางแผนลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท และทำร้ายไทเฮาแพร่สะพัดไปทั้งเมืองหลวง ผู้คนต่างโจษจันกันไปทั่วถึงความชั่วช้าเลวทรามที่องค์รัชทายาทได้กระทำไว้ ราษฎรต่างพากันสาปแช่งเจ้าสุนัขป่าเลี้ยงไม่เชื่องแว้งกัดได้แม้กระทั่งบิดาแท้ๆ ของตน พวกขุนนางต่างเรียกร้องให้มีการสืบหาที่ประทับลับที่ใช้ซ่อนตัวฝ่าบาท แต่ไม่ว่าจะเสาะหาอย่างไรก็ไม่อาจค้นพบได้โดยง่าย การหายตัวไปของเฉินเทียนอี้ รวมทั้งภัยสงครามที่คืบคลานเข้ามาทำเอาราชสำนักเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย อัครเสนาบดีหลี่จึงเชิญหลี่ไทเฮาขึ้นดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนอีกครั้ง และยังหารือเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทพระองค์ใหม่โดยเร็ว แต่เนื่องจากพระราชลัญจกรหายไปพร้อมกับฝ่าบาท ทำให้การแต่งตั้งองค์รัชทายาทถูกเก็บค้างเอาไว้ชั่วคราว รอให้เจอตัวฝ่าบาทเมื่อไหร่ค่อยตัดสินใจกันอีกที ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายของหลี่ไทเฮาเป็นอันมาก เพราะผู้ที่ถูกเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทพระองค์ใหม่คือ องค์ชายรองเฉินจวินเฉิง แต่กลับถู
“องค์รัชทายาทจะทรงทำอย่างไรดี ตอนนี้หลี่ไทเฮาสั่งการให้ทหารปิดล้อมตำหนักหมดแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” จางกงกงรายงานด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง ตอนที่ได้รับรายงานว่าตำหนักอี้ชิ่งถูกค้นและยัดข้อกล่าวหาว่าสมคบคิดกับคนเถื่อนขายชาติ ทำเอาเขาตกใจขวัญแทบบิน เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงถูกกล่าวหาเช่นนี้เล่า ในเมื่อผู้ลงมือกระทำแท้จริงแล้วเป็นฝ่ายหลี่ไทเฮาเสียมากกว่า ช่างกลับขาวเป็นดำได้อย่างหน้าด้านๆ “คนของฝ่ายเราล่ะ” เฉินซือหยางถามเสียงเครียดไม่นึกว่าเสด็จย่าของเขาจะทนไม่ไหวถึงขั้นปลอมหลักฐานขึ้นมาใส่ความเขาเช่นนี้ ชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบสินะ “คนของเราถูกจับกุมตัวไว้หมดเลยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนขุนนางฝั่งเราขอเปิดประชุมด่วนเพื่อยื่นหนังสือให้สามตุลาการ[1] ตรวจสอบร่วมกับไทเฮา ช่วยให้เราพอมีเวลาหาหลักฐานมาล้มล้างข้อกล่าวหา” “ไม่ทันการณ์แล้ว ไทเฮาลงมือหนักถึงขั้นนี้ย่อมต้องสานแหฟ้าตาข่ายดิน[2] ดักข้าเอาไว้ คาดว่าจดหมายลับฉบับนั้นคงเป็นลายมือพร้อมตราประท
บรรยากาศในวังหลวงหนักอึ้งกดทับผู้คน จนนางกำนัลและขันทีในตำหนักหยางซินไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรงด้วยเกรงว่าจะกระทบกระเทือนถึงพระอาการของฝ่าบาท เฉินซือหยางมีสีหน้าเครียดขึงเฝ้าดูอาการของเฉินเทียนอี้ไม่ห่าง ไม่ยอมหลับยอมนอนติดต่อกันนานสามวันสามคืน ทั้งประชุมเช้า ทั้งราชกิจต่างๆ ล้วนถูกเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด ประตูตำหนักหยางซินถูกปิดเงียบ แต่ไม่อาจปกปิดอาการประชวรที่กำลังทรุดหนักของเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ได้มิด เมื่อรวมกับภาวะสงครามที่ด่านชายแดน ราชสำนักจึงระส่ำระสายราวกับมังกรไร้เศียร หลี่ไทเฮาจึงถือโอกาสนี้เข้าควบคุมสถานการณ์ในราชสำนัก ภายในตำหนักฉือซวน กลิ่นกำยานกรุ่นกำจายนำพากลิ่นอายแปลกประหลาดบางอย่างปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนัก “เหนียงเหนียง ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วเพคะ” หม่าหมัวมัวกระซิบบอกเสียงเบา หลี่ย่าเสียงกระหยิ่มยิ้มย่องสั่งการเสียงเหี้ยม “ลงมือซะ!” ตำหนักอี้ชิ่งเงียบเหงาเ
สามวันให้หลังทุกอย่างถูกจัดเตรียมพร้อมสรรพ ทัพใหญ่สามสิบหมื่นนำโดยเจิ้งกั๋วกงพร้อมด้วยแม่ทัพซ้ายขวาและรองแม่ทัพผู้ติดตาม เคลื่อนพลออกจากเมืองผิงอานในยามซื่อที่ท้องฟ้าแจ่มใส แต่กลับสร้างความหม่นหมองให้กับใครหลายๆ คนโดยเฉพาะญาติมิตรของพลทหารรวมถึงคนตระกูลจ้าวด้วย “หยางหยาง ท่านพ่อจะกลับมาหาชีชีใช่หรือไม่” จ้าวลี่หมิงถามเสียงเครือ มองส่งจ้าวมู่ในอ้อมแขนของเฉินซือหยางบนกำแพงเมืองหลวงไกลจนลับตา “เจิ้งกั๋วกงแค่ไปปฏิบัติหน้าที่ อีกไม่นานจะต้องกลับมาแน่ เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” เฉินซือหยางกอดปลอบคนในอ้อมแขน มือหนากำตราพยัคฆ์ที่ได้รับมาจากจ้าวมู่แน่น ความเย็นเฉียบของมันช่วยปัดเป่าความหนักอึ้งซึ่งทับถมอยู่ในใจให้เบาบางลง “องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเลยหรือไม่เพคะ” กู้ฟางเหนียงถามเสียงเบา ดวงตายังคงแดงระเรื่อจากการที่ต้องลาจากสามี “เราคงต้องกลับเลย ยังมีเรื่องที่เราต้องทำอีกมากไท่เว่ยฮูหยินมีอะไรอย่างนั้นหรือ”
แสงจันทร์สาดส่องลอดผ่านแมกไม้ในป่าทึบเผยให้เห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งควบม้าฝีเท้าจัดตะบึงผ่านเส้นทางลับมุ่งสู่ชายแดนทางเหนือของแผ่นดินต้าเฉินโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก คนทั้งกลุ่มเร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อส่งสาส์นไปยังจุดหมาย ในระหว่างควบม้าเลาะขอบหน้าผาสูงชัน กลับถูกกลุ่มชายชุดดำลึกลับบุกเข้ามาโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน กระบี่แหลมคมฟาดฟันกันแบบถึงเลือดถึงเนื้อ กลุ่มชายฉกรรจ์บนหลังม้าพลาดท่าเสียทีให้กับเหล่าชายชุดดำ ด้วยชัยภูมิที่เสียเปรียบทำให้กลุ่มชายบนหลังม้าล้มตายดุจใบไม้ร่วง สุดท้ายเหลือเพียงชายหนุ่มผู้กุมสาส์นลับอาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีเข้าป่าไปพร้อมกับบาดแผลฉกรรจ์ “ตามไป!” หัวหน้าชายชุดดำสั่งเสียงเข้ม เร่งฝีเท้าไล่ตามไป คนทั้งกลุ่มไล่ล่าชายผู้กุมสาส์นลับจนอีกฝ่ายจนมุมตรงริมหน้าผาสูงชัน เหล่าชายชุดดำตีวงโอบล้อมเพื่อป้องกันอีกฝ่ายหลบหนีไปได้ “ส่งสาส์นลับมาให้ข้า” “เจ้าอย่าหวังเลย
กู้ฟางเหนียงกลับเรือนหลักหลังจากปรนนิบัติแม่สามีเข้านอน ขณะเดินผ่านเรือนช่านไฉ่แสงไฟในห้องนอนของบุตรชายยังคงสว่างโร่กู้ฟางเหนียงหัวคิ้วขมวดมุ่น ดึกดื่นป่านนี้เหตุใดเสี่ยวชีถึงยังไม่หลับไม่นอน “เสี่ยวชี แม่เข้าไปได้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงเคาะประตูห้องเบาๆ ก่อนจะผลักเข้าไปโดยไม่รอให้บุตรชายอนุญาต “ท่านแม่!” จ้าวลี่หมิงตกใจ เมื่อจู่ๆ มารดาก็เปิดประตูเข้ามา เด็กน้อยรีบซ่อนของไว้ใต้หมอนไม่ให้มารดาเห็นด้วยความอาย “ทำอะไรอยู่หรือ” กู้ฟางเหนียงนั่งลงบนเตียงเล็ก มือบางลูบศีรษะบุตรชายถามไถ่ด้วยน้ำเสียงรักใคร่อ่อนโยน สายตาเหลือบมองหมอนหยกใบเล็กที่บุตรชายใช้ซ่อนของบางสิ่ง แต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาแหลมคมของนางไปได้ “ชีชีนั่งเล่น ยังไม่ง่วงเลยขอรับ” “แล้วนั่นซ่อนอะไรไว้ แม่ดูได้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงถามยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงกระอึกกระอักอยู่เป็นครู่ มือเล็กบิดไปบิดมาค่อยหยิบของสิ่
ขณะที่เฉินซือหยางกำลังถกปัญหาเรื่องขาหมูไม่ใช่ผักให้จ้าวลี่หมิงฟังอยู่นั้น เว่ยอันที่ได้รับคำสั่งจากองค์รัชทายาทให้มาตรวจสอบห้องด้านข้างก็ได้รู้อะไรดีๆ เข้าโดยไม่คาดคิด ห้องด้านข้างหอฟู่กุ้ย เสนาบดีกรมคลังต่งเซินกับเสนาบดีกรมกลาโหมกำลังร่ำสุราปรึกษาหารือเรื่องในที่ประชุมเมื่อเช้านี้เสียงเบา “ข่าวการศึกจากทางเหนือที่แม่ทัพจ้าวส่งมาไม่นับว่าร้ายแรงนัก ข้าคิดว่าการจัดเตรียมเสบียงกองทัพในครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ท่านเสนาบดีคิดเห็นเช่นไร” “ตอนนี้ไม่ร้ายแรงใช่ว่าต่อไปจะไม่ร้ายแรงเสียเมื่อไหร่” ต่งเซินกระดกสุราไปค่อนข้างมากเผลอหลุดปากบอกอีกฝ่ายเป็นนัย เสนาบดีกรมกลาโหมได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสนใจทันที เพราะการจัดหาเสบียงอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และอาวุธยุทโธปกรณ์ในการรบย่อมผ่านมือเขาทั้งสิ้น เบี้ยหวัดเล็กๆ เหล่านี้ย่อมมียักย้ายเข้าพกเข้าห่อเป็นธรรมดา ยิ่งสถานการณ์การรบร้ายแรงเท่าไหร่ งบประมาณการจัดหาเ
เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ผสานกับเสียงหัวเราะดังก้องกังวานลอยเข้าหูเฉินซือหยางที่เพิ่งกลับจากประชุมเช้า ณ ตำหนักเฉียนชิง ชายหนุ่มหันไปมองตามเสียงเอะอะมะเทิ่งนั่น ภาพปรากฏชัดในครรลองสายตาคือ เหล่าองค์ชายองค์หญิงซึ่งกำลังเล่นสนุกกันในอุทยานหลวง มีองค์ชายรองบุตรของหลี่ลู่เหม่ย องค์ชายสามบุตรของเสียนเฟย องค์หญิงใหญ่บุตรของหลี่ลู่อิง และองค์ชายสี่บุตรของซูเฟยในวัยไล่เลี่ยกับจ้าวลี่หมิง เฉินซือหยางมองคนเหล่านั้นเพียงหางตาในระหว่างเดินผ่านอุทยานหลวงเพื่อกลับตำหนักอี้ชิ่ง จู่ๆ องค์ชายรองเฉินจวินเฉิงก็เดินนำองค์ชายองค์หญิงทั้งหลายมาขวางทางเดินเขา “พี่ชายเพิ่งกลับจากว่าราชการแทนเสด็จพ่อหรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินจวินเฉิงทักทายด้วยใบหน้าใสซื่อ ไม่คิดจะลดตัวคารวะบุคคลที่เขาเรียกขานว่า 'พี่ชาย' เลยแม้แต่น้อย “ใครคือพี่ชายเจ้า” เฉินซือหยางมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา ดวงหน้าซึ่งถอดเค้ามาจากหลี่ลู่เหม่ยนั่นดูขัดตาเขาชอบกล