แค่ได้ยินว่าเสิ่นหยินอู้กลับมาแล้ว เธอก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ถ้าเธอบอกว่าเฉินหยุนหวู่ให้กำเนิดลูกสองคน เธอจะตื่นเต้นมากกว่านี้ไหม? อย่างไรก็ตาม ฉินเย่จะไม่บอกเรื่องนี้ให้เธอรู้ในตอนนี้ ท้ายที่สุดแล้ว...หยินอู้ก็ยังไม่ยอมรับเขา เธอยังกลัวว่าเขาจะแย่งลูกๆไปจากเธอ ตามนิสัยของแม่ เธอคงจะดีใจมากอย่างแน่นอนถ้าเธอรู้ว่าเธอมีหลาน ถ้าเธอรู้ว่าเธอมีหลาน และถ้าเขายังต้องมาหยุดไม่ให้เธอไปเจอหลาน มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะไม่สามารถหยุดเธอได้ ความตื่นเต้นของคุณแม่ฉินจะทำให้เสิ่นหยินอู้ตกใจกลัวอย่างแน่นอน ดังนั้นควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก่อนจะดีกว่า แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ฉินเย่พูดไปเมื่อครู่นี้ทำให้คุณนายฉินเกิดความสงสัย "ทำไมแม่ถึงต้องดีใจมากจนนอนไม่หลับล่ะ? มีเรื่องอะไรดีๆหรอ? ลูกกลับมาคืนดีกับเธอแล้วหรอ?" ฉินเย่: "..." ก่อนที่เขาจะได้ทันอธิบาย คุณแม่ฉินก็เริ่มทึกทักไปเองแล้ว “แม่เข้าใจแล้ว เพราะลูกคืนดีกับเธอแล้ว ฉูฉู่ก็เลยร้อนใจมากจนต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้เพื่อรั้งลูกเอาไว้ใช่ไหม?” "..." สีหน้าของฉินเย่เหวอไปเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าความเข้าใจของแม่เขาจะตรงกับความจร
ในตอนแรกเธอคิดว่าการฆ่าตัวตายจะกระตุ้นความสงสารของฉินเย่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะไม่ได้ผลเลยสักนิด เจียงฉูฉู่มองไปที่คุณแม่เจียงอย่างหดหู่ “แม่ แม่ไม่ได้บอกว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลแน่นอนงั้นหรอ? แต่ตอนนี้ฉินเย่ไม่รับสายเลย เขาเกลียดหนูไปแล้วใช่ไหม? เขาไม่อยากเจอหนูอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?” คุณแม่เจียงกัดริมฝีปากล่าง: "คิดไม่ถึงเลยว่าฉินเย่จะเป็นที่ใจแข็งขนาดนี้" "ทั้งหมดเป็นความผิดของแม่" เจียงฉูฉู่ร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจ: "ถ้าแม่ไม่เสนอความคิดที่จะให้หนูวางยาเขา เรื่องระหว่างหนูกับเขาคงไม่เป็นแบบนี้ หนูก็คงยังอยู่ข้างๆเขาได้..." การที่เธอร้องไห้เสียใจทำให้คุณแม่เจียงรู้สึกหงุดหงิดมาก ถึงขั้นยังตำหนิฉูฉู่ด้วย เธอหรี่ตาลงและดุว่า: "ถ้าแกไม่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่น่าสมเพชขนาดนั้น ฉันจะต้องถึงกับคิดอะไรแบบนี้ให้แกไหม? ทำไมแกไม่โทษตัวเองล่ะ? เขาเดินเข้ามาในกำมือของแกแล้วแท้ๆ แต่แกก็ยังปล่อยเขาหลุดมือไป แกมันไร้ประโยชน์เองแท้ๆแต่ดันมาโทษฉันว่ามีความคิดแย่ๆงั้นหรอ? แกเป็นแบบนี้ยังคิดอยากอยู่ข้างๆเขาอีกงั้นหรอ?” เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกจากคุณแม่เจียง เจียงฉูฉู่ก็นึกถึงเมื่อคืนนี้ที่เธอได้นอนกับ
ความทรงจำเหล่านั้นที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาในหัวเธอเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้เธอค่อยๆปะติดปะต่อภาพที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกันได้ วันนั้นฉินเย่ลื่นตกลงไปในน้ำ เนื่องจากเขาเคยมีประสบการณ์จมน้ำในตอนที่ยังเป็นเด็ก เขาจึงกลัวน้ำมาโดยตลอดและไม่เคยเรียนว่ายน้ำเลย เนื่องจากเธอและฉินเย่ไม่ได้เรียนห้องเดียวกัน ดังนั้นเวลาเธอออกไปข้างนอก เธอจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อนๆในห้อง ครั้งนั้นเป็นเพื่อนโต๊ะข้างๆเธอที่แนะนำให้ไปที่แม่น้ำเพื่อจับกุ้ง ทั้งสองตกลงกัน แต่เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง เพื่อนของเธอก็บอกว่าเธอลืมของ และบอกให้หยินอู้ไปรอเธอที่ริมแม่น้ำก่อน เสิ่นหยินอู้ตกลง และเพื่อนของเธอก็กลับไปเอาของ ส่วนหยินอู้ก็ไปที่ริมแม่น้ำก่อน ความหนาวเย็นแผ่ไปทั่วริมแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างทางเสิ่นหยินอู้ถูกลมพัดจนต้องหดคอลง และยังลังเลอยู่ว่าจะกลับไปบอกเพื่อนว่าไม่ต้องไปจับกุ้งจะดีกว่าไหมเพราะอากาศหนาวเกินไป ถ้าไปจับกุ้ง ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะหนาวจนเป็นหวัดหรือเปล่า เธอกำลังสับสนอยู่ในใจ และเมื่อเธอกำลังจะกลับไป จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ เสิ่นหยินอู้มองไปตามเสียงและเห็นเจี
ในท้ายที่สุดเธอก็หมดสติไป ความทรงจำในอดีต ในขณะนี้กำลังแสดงอยู่ในหัวของเสิ่นหยินอู้เหมือนกับภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ คำทรงจำเหล่านั้นที่เธอจำไม่ได้เลย ในตอนนี้กลับชัดเจนมากแม้แต่ในรายละเอียดเล็กๆ หลังจากที่เธอจำทุกอย่างได้ เสิ่นหยินอู้ก็หายใจแรงขึ้น เธอยื่นมือออกมากุมที่หน้าอกของเธอโดยไม่รู้ตัวและสูดหายใจเฮือกใหญ่ๆเข้าไป เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน?ที่แท้คนที่ช่วยฉินเย่ไว้ คือก็เธองั้นหรอ??? แล้วเจียงฉูฉู่ล่ะ? ตอนแรกไม่ได้บอกว่าเจียงฉูฉู่เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฉินเย่ไว้หรอ? แล้วทำไมเธอถึงมีความทรงจำนี้ล่ะ? เจียงฉูฉู่แอบอ้างสิทธิ์ในความดีความชอบของเธอ หรือว่าความทรงจำของเธอมีอะไรผิดพลาด แต่หากมีอะไรผิดพลาด ความทรงจำเหล่านี้จะเหมือนจริงเช่นนี้ได้อย่างไร? ในชั่วขณะหนึ่ง ความถี่ในการหายใจของเสิ่นหยินอู้ไม่สามารถลดลงได้เลย ประมาณสิบนาทีต่อมา เธอก็พลิกตัวและลุกขึ้นจากเตียง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและหาเบอร์ของฉินเย่เพื่อที่จะโทรหาเขา เธอกดโทรออกอย่างรวดเร็ว และเมื่อโทรติดแล้ว เสิ่นหยินอู้กลับเสียใจขึ้นมาและรีบกดวางสาย จากนั้นเธอก็เอื้อมมือไปกุมหน้าผากด้วยความรำคาญใจ เธอกำล
หลังจากวางสายแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็วางโทรศัพท์ไว้ข้างๆเธอ ถึงเวลาที่เธอจะต้องนอนแล้ว สำหรับเรื่องที่เธอนึกขึ้นได้ในวันนี้ เธอต้องหาทางพิสูจน์ ไม่เช่นนั้นคำพูดเพียงไม่กี่คำของเธอเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถทำให้คนอื่นเชื่อเธอได้เลย ท้ายที่สุดแล้ว...มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน และตอนนี้ปัญหาก็คือ จะพิสูจน์ได้อย่างไรกัน เสิ่นหยินอู้นอนลง แต่เธอไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด ภายในหัวของเธอเต็มไปด้วยภาพเหล่านั้นที่ในที่สุดก็กลับคืนมา ยิ่งเธอคิด เธอก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดอยู่ในหัวมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากเจียงฉูฉู่ช่วยฉินเย่ไว้ในตอนนั้น ฉินเย่จึงปฏิบัติต่อเธอแตกต่างไปจากเดิมมาก จากเดิมที่มีเพียงพวกเขาสองคนที่เล่นด้วยกันตอนเด็ก แต่ต่อมาก็มีเจียงฉูฉู่เพิ่มเข้ามาด้วยอีกคนหนึ่ง เธออิจฉาฉูฉู่แทบจะตลอดเวลา ในตอนที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุด เธอถึงขั้นจินตนาการว่ามันคงจะดีถ้าเธอเป็นคนที่ช่วยเขาไว้ แต่เธอคาดไม่ถึงเลยว่า ที่แท้คนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ก็คือเธอจริงๆ แต่ในตอนนั้นกลับถูกเจียงฉูฉู่แอบอ้างไปก็เท่านั้นเอง แอบอ้าง... ดวงตาที่งดงามของเสิ่นหยินอู้หรี่ลงเล็กน้อย ในตอนนั้นเธอช่วยฉินเย่ก
ขณะที่เสิ่นหยินอู้กำลังจะพูด ฉินเย่ก็ก้าวเข้ามาและปิดประตู และเขาก็ก้าวไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย ทำให้เธอแทบจะตัวติดกับผนังกำแพงตรงโถงทางเข้า "คุณมีอะไรจะพูดกับผมหรอ?" เสียงของฉินเย่ต่ำและแหบแห้ง สายตาของเขาลึกซึ้งมาก เหมือนกับหมาป่าที่กำลังตามหาเหยื่อในค่ำคืนอันเงียบสงบเสิ่นหยินอู้: "..." เธอรู้สึกว่าเขาได้คืบจะเอาศอกอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้าคืนก่อนหน้านี้ เขายังไม่กล้าทำแบบนี้กับเธอเลยและในตอนเช้าวันนี้ ก่อนออกจากบ้าน เขาก็จูบเธอที่หน้าผากอีก เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เอื้อมมือออกไปผลักเขาออกไป "คุณทำอะไรเนี่ย? ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าฉันโทรผิด?" "ผมไม่เชื่อ" ฉินเย่ประสานนิ้วกับเธอและยับยั้งความวู่วามที่จะพูดอะไรเลี่ยนๆของตัวเอง: "คุณเป็นคนมีเหตุผลมาก ไม่มีทางโทรหาผมเพราะโทรผิดในเวลาแบบนี้หรอก" เสิ่นหยินอู้ชะงักไป “ดังนั้นการที่คุณโทรหาผม ก็คงมีเรื่องจะคุยกับผมแน่ๆ” เสียงของฉินเย่อ่อนโยนนุ่มนวลมาก: “คุณไม่อยากบอกผมทางโทรศัพท์ ผมก็เลยได้แต่ต้องมาหาคุณเอง” เขารู้จักเธอมาหลายปี เขาก็ยังเข้าใจเธอดีมาก เสิ่นหยินอู้มองไปที่เขาและเม้มริมฝีปาก แต่กลับไม่พูดอะไร ฉินเย่เ
เมื่อสัมผัสได้ถึงริมฝีปากบางของเขาที่แนบติดกับริมฝีปากของเธอ เสิ่นหยินอู้ก็หยุดหายใจ เธอเอนตัวไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ มือใหญ่คู่หนึ่งจับเอวของเธอไว้แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขา จากนั้นริมฝีปากสีแดงของเธอก็ถูกเขาจุมพิต "อื้อ" หลังจากตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นหยินอู้ก็เอื้อมมือออกไปผลักเขาออกไปอย่างแรง "ฉันกำลังคุยกับคุณนะ คุณทำบ้าอะไรเนี่ย?" หลังจากที่ฉินเย่ถูกผลักออกไป เขาก็มองเธออย่างติดใจและพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า "ผมเห็นคุณหึง ก็เลยอยากจูบคุณ" “ใครหึง?” เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว ฉินเย่ยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาเล็กน้อย เธอกำลังพูดกับเขาด้วยความจริงจัง แต่เขากลับทำตัวเอ้อระเหยลอยชาเหมือนกับว่าไม่เชื่อเธอ เขาจึงจงใจทำเช่นนี้เพื่อมาเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า: "คุณกำลังจงใจทำให้ฉันเสียสมาธิใช่ไหม?" ฉินเย่: "..." “คิดเพ้อเจ้ออะไรน่ะ ผมเชื่อคุณอยู่แล้ว” ฉินเย่เอื้อมมือไปบีบแก้มเธอ สีหน้าของเขาจริงจังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? คนที
“ช่างมันเถอะ” เสิ่นหยินอู้หันกลับมา “ยังไงมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ถ้าฉันนึกเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ ทุกคนคงคิดว่าเธอเป็นคนช่วยคุณ” เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของเธอ ฉินเย่ก็เม้มริมฝีปาก “ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ปล่อยให้คนอื่นเอาความดีความชอบของคุณไปแอบอ้างโดยไม่มีเหตุผล” เสิ่นหยินอู้หัวเราะเยาะ “คุณพูดไปตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไร? ทุกคนต่างก็คิดว่าเธอเป็นคนช่วยคุณหมดแล้ว นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว หรือคุณคิดจะออกไปป่าวประกาศว่าคนที่ช่วยคุณไว้คือฉัน ไม่ใช่เธออย่างงั้นหรอ? คุณมีหลักฐานหรอ?” "ไม่มี" "งั้นก็ไม่..." เธอรู้สึกถึงแรงที่ไหล่ของเธอ จู่ๆฉินเย่ก็จับไหล่ของเธอแล้วดึงเธอให้หันหน้ามาหาเขา “หลักฐานน่ะ แค่ถ้าผมอยากได้ มันก็มีอยู่แล้ว” เสิ่นหยินอู้ตกใจ: "อะไรนะ?" ฉินเย่พูดอย่างใจเย็นว่า: "เดิมที ผมแค่อยากจะตัดความสัมพันธ์กับเธอ ท้ายที่สุดเธอก็เคยช่วยผมไว้ แต่ตอนนี้ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นคนที่ช่วยผม ผมคงไม่ทำแค่การตัดความสัมพันธ์ง่ายๆอย่างเดียวหรอก" เสิ่นหยินอู้มองเขาอย่างแน่วแน่ ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็หันไปแล้วพูดว่า "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?" “นั่วนั่ว” ในโถงทางเข้าที่มีแสงสลัวๆ ฉินเย่เ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ